วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความคุ้มครองต่างๆ สำหรับประกันภัยรถยนต์


1. ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก
บริษัท ผู้รับประกันภัยจะเข้ารับผิดชอบค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอก หากความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกนั้น ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดตามกฎหมาย ซึ่งความคุ้มครองในส่วนนี้จะแบ่งเป็น
1.1 ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย
ซึ่ง จะคุ้มครองความรับผิดต่อความบาดเจ็บ มรณะ โดยบุคคลภายนอกที่ได้รับความคุ้มครองในส่วนนี้ จะรวมทั้งบุคคลที่อยู่ภายนอกรถยนต์คันเอาประกันภัย และบุคคลภายนอกที่โดยสารอยู่ในหรือกำลังขึ้น หรือกำลังลงจากรถยนต์คันเอาประกันภัย โดยจะคุ้มครองเฉพาะจำนวนเงินค่าเสียหายส่วนที่เกินกว่าจำนวนเงินสูงสุดตาม กรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พรบ.) ยกเว้น ผู้ขับขี่รถยนต์คันเอาประกันภัยในขณะเกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งคู่สมรส บิดา มารดา บุตร ลูกจ้างในขณะปฏิบัติงานของผู้ขับขี่
1.2 ความเสียหายต่อทรัพย์สิน
บริษัท ประกันภัยจะรับผิดชอบค่าสินไหมทดแทนความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอกตาม ความเสียหายที่แท้จริง แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย ยกเว้น เป็นทรัพย์สินของผู้ขับขี่รถยนต์คันเอาประกันภัยในขณะเกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งคู่สมรส บิดา มารดา บุตรของผู้ขับขี่
2. รถยนต์เสียหาย สูญหาย ไฟไหม้
2.1 ความเสียหายต่อรถยนต์
ความ คุ้มครองต่อความเสียหายต่อรถยนต์ โดยบริษัทประกันภัยจะชดเชยค่าสินไหมทดแทนความเสียหายในระยะเวลาเอาประกันภัย รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องตกแต่ง หรือสิ่งที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์
2.2 ความเสียหายส่วนแรก
เงื่อนไข ของผู้เอาประกันภัยจะเข้าร่วมรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นตามจำนวนเงิน ที่ระบุในกรมธรรม์ สำหรับกรณีที่รถคันเอาประกันภัยเป็นฝ่ายก่อให้เกิดความเสียหาย
2.3 รถยนต์สูญหายไฟไหม้
การ สูญหายจะรวมถึงการสูญหายทั้งคัน สูญหายบางส่วน สูญหายจากการลักทรัพย์ของลูกจ้าง หรือบุคคลใดเป็นผู้ลักทรัพย์ก็ตาม การเสียหายของรถยนต์ที่เกิดจากไฟไหม้ ไม่ว่าจะเป็นการไหม้ด้วยตัวของมันเอง หรือเป็นการไหม้ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากสาเหตุอื่นใดก็ตาม
3. ความคุ้มครองตามเอกสารแนบท้าย (อนุสัญญา)
3.1 อุบัติเหตุส่วนบุคคล
คุ้ม ครองความบาดเจ็บจากอุบัติเหตุของผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารรถยนต์คันเอาประกัน ภัย หากความบาดเจ็บที่ได้รับเป็นผลให้บุคคลนั้นเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร หรือทุพพลภาพชั่วคราว โดยบริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้
3.2 ค่ารักษาพยาบาล
คุ้ม ครองความบาดเจ็บจากอุบัติเหตุของบุคคลที่อยู่ในรถยนต์คันเอาประกันภัย หากความบาดเจ็บเป็นผลให้ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล โดยบริษัทประกันภัยจะจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าผ่าตัด ค่าโรงพยาบาล ตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้
3.3 การประกันตัวผู้ขับขี่
กรณี ที่ผู้เอาประกันภัย หรือผู้ขับขี่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัย นำรถยนต์คันเอาประกันภัยไปใช้และเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นผลให้ถูกควบคุมตัวไว้ในคดีอาญา ทั้งในชั้นพนักงานสอบสวน พนักงาน อัยการ หรือศาล (จนถึงศาลฎีกา) โดยบริษัทต้องทำการประกันตัวผู้เอาประกันภัย หรือผู้ขับขี่โดยไม่ชักช้า ในวงเงินไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้
4. ส่วนลดระบุอายุผู้ขับขี่
เป็น การคุ้มครองความรับผิดหรือความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกันกันภัย ในกรณีที่บุคคลที่ระบุชื่อเป็นผู้ขับขี่ (กรณีถ้าไม่ใช่ผู้เอาประกันภัยต้องเข้าร่วมรับผิดต่อความเสียหาย) เฉพาะรถยนต์ที่ใช้ส่วนบุคคลเท่านั้น โดยแบ่งเป็น 4 ระดับอายุ คือ
· ช่วงอายุ 18 – 24 ปี ส่วนลด 5%
· ช่วงอายุ 25 – 35 ปี ส่วนลด 10%
· ช่วงอายุ 36 – 50 ปี ส่วนลด 15%
· ช่วงอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป ส่วนลด 20%
5. ส่วนลดความเสียหายส่วนแรก
เป็น ข้อตกลงระหว่างบริษัทประกันภัยกับผู้เอาประกันภัย สำหรับค่าความเสียหายส่วนแรกของทรัพย์สินบุคคลภายนอก และ/หรือความเสียหายส่วนแรกของความเสียหายต่อรถยนต์
6. ส่วนลดกลุ่ม
กรณีที่ผู้เอาประกันภัยมีรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้กับบริษัทประกันภัยตั้งแต่ 3 คันขึ้นไป จะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัยกลุ่ม 10%
7. ส่วนลดประวัติดี
ส่วนลดตามหลักเกณฑ์ส่วนลดเบี้ยประกันภัยประวัติดี ซึ่งคำนวณจากประวัติปีที่ผ่านมา

ที่มา : http://www.cinsurebroker.com/33-ประเภทของประกันภัยรถยนต์.html

ประเภทของประกันภัยรถยนต์


1. การประกันภัยภาคบังคับ
การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า “ประกัน พ.ร.บ.” เป็นการประกันภัยที่กฏหมายบังคับให้รถทุกคัน ทุกประเภท ต้องทำประกันภัย (ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535) เพื่อให้ความคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ให้ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายและค่าเสียหายเบื้องต้นอย่างทันท่วงที และเป็นหลักประกันแก่สถานพยาบาลทุกแห่งว่าได้รับค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่ให้ การรักษาแก่ผู้ประสบภัยจากรถแน่นอน
2. การประกันภัยภาคสมัครใจ
การประกันภัยประกันภัยรถยนต์ซึ่งเป็นการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อ (ผู้เอาประกัน) และผู้ขาย (บริษัทประกันภัย) โดยเป็นการเลือกซื้อความคุ้มครองประกันภัยตามความต้องการที่เหมาะสมของผู้ ซื้อ (ผู้เอาประกันภัย )
การประกันภัยรถยนต์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
การประกันภัยประเภทไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่ จะคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ที่เกิดขึ้นจากการใช้หรือขับขี่โดยได้รับ ความยินยอมจากผู้เอาประกันภัย
การประกันภัยประเภทระบุชื่อผู้ขับขี่ จะคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ที่เกิดขึ้นในขณะที่บุคคลที่ระบุชื่อใน กรมธรรม์เป็นผู้ขับขี่ แต่ถ้าไม่ใช้ผู้เอาประกันภัยต้องเข้าร่วมรับผิดชอบต่อ ความเสียหายส่วนแรก ด้วย
2.1 กรมธรรม์ประเภทสมัครใจ ประเภท 1
ความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
ความรับผิดต่อความเสียหายของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
ความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
2.2 กรมธรรม์ประเภทสมัครใจ ประเภท 2
ความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
ความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
2.3 กรมธรรม์ประเภทสมัครใจ ประเภท 3
ความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
2.4 กรมธรรม์ประเภทสมัครใจ ประเภท 4
ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
2.5 กรมธรรม์ประเภทสมัครใจ ประเภท 5
แบบประกัน 2 พลัส (2+)
· ความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
· ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
· ความ รับผิดต่อความเสียหายของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย กรณีชนกับยานพาหนะทางบก (กรณีชนกับยานพาหนะทางบกและเป็นฝ่ายผิด จะต้องรับผิดชอบความเสียหายส่วนแรกต่อความเสียของตัวรถยนต์ผู้เอาประกันภัย ไม่เกิน 2,000 บาท)
· ความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
แบบประกัน 3 พลัส (3+)
· ความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
· ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
· ความ รับผิดต่อความเสียหายของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย กรณีชนกับยานพาหนะทางบก (กรณีชนกับยานพาหนะทางบกและเป็นฝ่ายผิด จะต้องรับผิดชอบความเสียหายส่วนแรกต่อความเสียของตัวรถยนต์ผู้เอาประกันภัย ไม่เกิน 2,000 บาท)

ที่มา : http://www.cinsurebroker.com/33-ประเภทของประกันภัยรถยนต์.htm

นโยบาย รถคันแรก



ตามที่รัฐบาล 2554 ชุดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีนโยบายรถคันแรก

โดยจะเป็นการคืนเงินภาษีเท่ากับที่จ่ายจริง ในการซื้อรถยนต์คันแรก แต่จะคืนได้ไม่เกิน 100,000 บาท

สำหรับรายละเอียด ข้อกำหนด เงื่อนไขต่างๆ ในการคืนภาษีรถยนต์คันแรก มีดังนี้
ผู้ซื้อต้องอายุ 21 ปีขึ้นไป
ผู้ซื้อจะต้องไม่เคยซื้อรถยนต์มาก่อน
ระยะเวลา จะต้องซื้อตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2555
โดย ราคารถยนต์นั้นจะต้องไม่เกิน 1,000,000 บาท
เครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี (สำหรับรถกระบะจะไม่จำกัด ซีซี)
เป็นรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทยเท่านั้น
ต้องครอบครองไม่น้อยกว่า 5 ปี
เป็นรถใหม่(ป้ายแดง,มือสองไม่ได้)
การคืนเงินภาษีรถคันแรก ภาครัฐจะคืนภาษีได้เมื่อครอบครองรถยนต์ไปแล้วเป็นเวลา 1 ปี


UPDATE : 13 กันยายน 2554

ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรกแล้ว!
เลื่อนระยะเวลาเป็น เริ่มวันที่ 16 กันยายน 2554 - 31 ธันวาคม 2555

วิธีดำเนินการ
1. ผู้ซื้อรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ต้องยื่นคำขอคืนเงินกับกรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ พร้อมเอกสารหลักฐาน ประกอบด้วย
หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนภายใน 5 ปี
สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ
สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ในกรณีเช่าซื้อ)

2. กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่มีหนังสือถึงกรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัด เพื่อขอตรวจสอบการครอบครองรถยนต์คันแรก และแจ้งการสละสิทธิ์การโอนภายใน 5 ปีของผู้ซื้อ

3. กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดตรวจสอบและบันทึก “ห้ามโอนภายใน 5 ปี” ลงในคอมพิวเตอร์และในสมุดคู่มือการจดทะเบียน

4. กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดส่งหนังสือรับรองการครอบครอง รถยนต์คันแรก และสำเนาคู่มือการจดทะเบียนที่บันทึก “ห้ามโอนภายใน 5 ปี” ให้กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่

5. กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ และสั่งจ่ายเช็คให้แก่ผู้ซื้อเมื่อครอบครองครบ 1 ปี โดยจ่ายเป็นเช็คให้ในครั้งเดียว


UPDATE : 17 กันยายน 2554

ปลดล็อคเงื่อนไข ห้ามโอนภายใน 5 ปี กรณีผู้ซื้อรถ(ผ่อน)ผิดนัดไม่สามารถผ่อนชำระต่อได้ ไฟแนนซ์ก็สามารถยื่นเรื่องให้กรมสรรพสามิตตรวจสอบ ว่าเป็นจริง เป็นเหตุสุดวิสัยหรือไม่ ถ้าพิสูจน์ได้ว่าผู้ซื้อรถผิดนัดไม่ผ่อนชำระต่อจริง ก็จะแก้เงื่อนไขกรณีห้ามโอนภายใน 5 ปี ให้สามารถนำรถไปขายทอดตลาดได้
และจะเรียกเงินภาษีจากผู้ที่ซื้อรถไปแล้วแต่ไม่สามารถผ่อนต่อได้ คืนกลับให้กรมสรรพสามิตเท่ากับจำนวนที่ได้รับไป (ผู้ซื้อรถไปแล้วแต่ไม่สามารถผ่อนต่อได้ จะต้องคืนเงินให้กรมสรรพสามิตเท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับการคืนภาษีรถยนต์คันแรก)

--------------------------------------------------------------------------
UPDATE :
นโยบาย รถคันแรก รายละเอียดเงื่อนไขการคืนเงินภาษี ในการซื้อรถยนต์คันแรก
รายละเอียดข้อมูลการคืนเงินรถยนต์คันแรกสำหรับ รถยนต์นั่ง (รถเก๋ง)
รายละเอียดข้อมูลการคืนเงินรถยนต์คันแรกสำหรับ รถยนต์นั่งที่มีกระบะ(Double Cab)
รายละเอียดข้อมูลการคืนเงินรถยนต์คันแรกสำหรับ รถยนต์กระบะ(Pick Up)
ดาวน์โหลด แบบฟอร์ม คำขอคืนเงินและเงื่อนไขสาหรับรถยนต์คันแรก(ฉบับสมบูรณ์)
ดาวน์โหลด แบบฟอร์ม หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนรถยนต์คันแรกภายใน 5 ปี(ฉบับสมบูรณ์)
ตัวอย่าง แบบฟอร์ม หนังสือแจ้งผลการได้รับสิทธิจากกรมสรรพสามิต
คำแนะนำสำหรับประชาชนในการคืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรก

ที่มา : http://thaielectionnews.blogspot.com/2011/09/blog-post.html

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Ferrari 458 Italia สุดยอดสปอร์ตคาร์จากม้าลำพอง


บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด ผู้แทนจำหน่าย และบริการหลังการขายรถยนต์เฟอร์รารี่ แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดตัวรถยนต์เฟอร์รารี่รุ่นใหม่ล่าสุด Ferrari 458 Italia ที่ทั่วโลกต่างจับตามอง ด้วยการมาทดแทนเฟอร์รารี่ รุ่น F430 ได้อย่างสมบูรณ์แบบกับเทคโนโลยีล่าสุดจากสนามแข่งเอฟวัน ด้วยการมีส่วนร่วมในการออกแบบโดยอดีตนักแข่ง F1 7 สมัย Michael Schumacher

Ferrari458 Italia เป็นสปอร์ตคาร์จากค่ายม้าลำพองที่ผลิตจากโรงงานในอิตาลีเพื่อมาทดแทนกับ Ferrari F430 ที่จะปลดระวางหลังอายุครบ 7 ขวบในปีที่แล้ว (F430 เปิดตัวปี 2004 ในงานปารีสมอเตอร์โชว์ โดยรถพวงมาลัยซ้ายเริ่มจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ส่วนพวงมาลัยขวาก็เริ่มจำหน่ายในปี 2005) และก็มาถูกแทนที่ด้วยรุ่นน้อง 458 Italia เมื่อ 28 กรกฏาคม 2009 และจำหน่ายในปีนี้ โดยชื่อรุ่นมาจากปริมาตรความจุกระบอกสูบ (4.5 ลิตร) กับเครื่องยนต์ V8 และชื่อประเทศผลิต จึงกลายมาเป็น Ferrari 458 Italia สุดยอดสปอร์ตคาร์คันนี้


Ferrari 458 Italia มีรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัย โฉบเฉี่ยวตามสไตล์ของการออกแบบจากสถาบันออกแบบรถยนต์ชั้นนำของโลก Pininfarina มาผสานเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยจากการแข่งขันรถยนต์ Formula 1 ทำให้ Ferrari 458 Italia กลายร่างเป็นซูเปอร์คาร์ที่หลุดออกจากคอกมาสู่ท้องถนนโดยยังคงให้อารมณ์การขับขี่ดุจดั่งการขับรถยนต์ฟอร์มูล่าวันกันเลยทีเดียว

Ferrari 458 Italia เป็นรถในสไตล์สปอร์ตคาร์คูเป้ 2 ที่นั่ง ที่ยังให้อารมณ์เดียวกับการขับรถยนต์ฟอร์มูล่าวันมาสู่ท้องถนนจริง ๆ ขณะเดียวกันอัตราการบริโภคน้ำมันก็ไม่ดุเดือด ซอฟท์ลงแต่ยังคงให้อรรถรสคงเดิมและปล่อยไอเสียสู่ท้องถนนน้อยลงกว่ารุ่นพี่ F430 การออกแบบยังคงยึดหลักการจัดเรียงอากาศให้มีระบบแอร์โรไดนามิคได้ดี เส้นสายต่าง ๆ

ออกแบบไว้อย่างลงตัว ช่องดักลมด้านหน้ามุ่งไประบายความร้อนหม้อน้ำ ใต้ท้องรถมีความราบเรียบไร้รอยสะดุด จมูกติดตั้งโลโก้ม้าลำพองเป็นสัญลักษณ์เช่นเดียวกันกับฝากระโปรงหน้าและบริเวณเสา A กับดุมล้อทั้ง 4 ส่วนโคมไฟหน้าเรียวยาวไปจนถึงซุ้มล้อหน้า กระจกบานหลังแผ่นใหญ่มองเห็นตับใตใส้พุงของเครื่องยนต์ที่วางไว้ ไฟท้ายกลมติดตั้งไว้มุมทั้งสองข้าง ท่อไอเสียแบบ 3 ช่องติดตั้งกลางลำใต้กรอบป้ายทะเบียน


เครื่องยนต์ใช้เป็นบล็อกใหม่ 4,499 ซี.ซี. เป็นเครื่องยนต์แบบ V8 Direct injection วางกลางลำ ผลิตแรงม้าออกมาฝูงโต 570 ตัว ที่รอบสูงถึง 9,000 รอบต่อนาที ส่วนแรงบิดผลิตมาถึง 540 นิวตันเมตรที่ 6,000 รอบต่อนาที โดยตามสเป็คบอกว่ากว่า 80 % มาที่รอบประมาณ 3,250 รอบต่อนาที

เสียงเครื่องยนต์ยังคงคำรามตามสไตล์เฟอร์รารี ให้อรรถรสเพิ่มความเร้าใจได้อย่างถึงกึ๋นคนชื่นชอบความแรง โดยมาพร้อมกับระบบเกียร์แบบ 7 สปีด คลัตชคู่ ที่ปรับเปลี่ยนอัตราทดกันอย่างราบรื่นไร้ที่ติ ขณะเดียวกันก็คายไอเสียได้น้อยลง อยู่ที่ 320 กรัม/กิโลเมตร

การลดน้ำหนักอย่างดีทำให้ Ferrari 458 Italia มีน้ำหนักเพียง 1,380 กก. ทำให้ม้าแต่ละตัวแบกน้ำหนักไม่มากเท่าไหร่ คือ มีแรงม้า/น้ำหนักที่ 2.42 กก./แรงม้าเท่านั้น โดยชัสซีผลิตจากอลูมิเนียมจากฝีมือของวิศวกรจากเมือง Maranello อัตราบริโภคน้ำมันจึงดีกว่า F430 (5.464 กม./ลิตร)

ระบบช่วงล่างด้าสหน้ายังคงใช้ดับเบิ้ลวิชโบนและหลังเป็นแบบมัลติลิงค์ให้การควบคุมรถได้อย่างง่ายดาย ระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เบรกของ Brembo มาพร้อม ABS ที่สามารถตัดทอนแรงม้าลงมาให้สงบหยุดนิ่งได้อย่างง่ายดาย โดยในความเร็วจาก 100 กม./ชม.มาถึงจอดสนิทใช้ระยะทางเพียง 32.5 เมตร จึงทำให้มั่นใจได้ว่าแรงม้ากว่า 570 ตัวนั้นเจ้าดิสก์เบรกของ 458 Italia กำหราบอยู่หมัดแน่นอน

สำหรับ Ferrari 458 Italia แล้วจึงนับว่าเป็นรถสำหรับชีวิตประจำวันที่ให้ความสนุกสนานในการขับขี่ และถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็คือ รถซูเปอร์คาร์ที่สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน แต่สนนราคาก็บวกภาษี วัสดุ เครื่องยนต์และแรงดลบันดาลใจของ Michael Schumacher ออกมา


ข้อมูลทางเทคนิค FERRARI 458 Italia

มิติ กว้าง/ยาว/สูง 1,937/4,527/1,213 มม.

ฐานล้อ 2,650 มม.

น้ำหนักสุทธิ 1,380 กก.

การกระจายน้ำหนัก หน้า/หลัง 42%/58%

เครื่องยนต์ V8 4.5 ลิตร

ปริมาตรความจุ 4,499 ซี.ซี.

แรงม้าสูงสุด 570 ตัว (hp) ที่ 9,000 รอบต่อนาที

แรงบิดสูงสุด 540 นิวตัน-เมตรที่ 6,000 รอบต่อนาที

อัตราส่วนกำลังอัด 12.5 ต่อ 1

ระบบเกียร์ Dual-clutch 7 สปีด F1

ความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตร/ชั่วโมง

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 3.4 วินาที

ยาง หน้า 325/35 ZR20 / หลัง 295/35 ZR20

อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 7.299 กม./ลิตร

NEW BMW Series 5 Exclusive Preview


บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทยอวดโฉม BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน BMW Xpo 2010 ปลายไตรมาสที่ 3 นี้ โดยในงาน Exclusive Preview ครั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ได้นำ BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่มาอวดโฉมถึง 2 รุ่น ได้แก่ BMW 535i และ BMW 530d

จากความสำเร็จอย่างท่วมท้นของ BMW ซีรี่ย์ 5 ในตลาดเมืองไทยในช่วงที่ผ่านมา ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับเซ็กเมนท์ซาลูนระดับผู้บริหาร ทั้งในด้านประสิทธิภาพความประหยัดน้ำมัน ความหรูหราสะดวกสบาย และอารมณ์การขับขี่สไตล์สปอร์ตซาลูน บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทยตัดสินใจเลื่อนแผนเปิดตัว BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่ให้เร็วขึ้นเพื่อที่ให้เกิดความต่อเนื่องของตลาด อีกทั้งเป็นการต่อยอดความสำเร็จบนรากฐานที่มั่นคงที่รุ่นเดิมได้สร้างไว้


นอกจาก BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่จะโดดเด่นในด้านสมรรถนะความปราดเปรียวและเทคโนโลยีที่เหนือชั้น ซึ่งเป็นจุดเด่นของบีเอ็มดับเบิลยูอยู่แล้ว มันยังได้ถูกสร้างให้มีความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่เป็นรถซาลูนระดับผู้บริหารที่ผสมผสานระหว่างความหรูหราสะดวกสบายและอารมณ์การขับขี่แบบสปอร์ตซาลูนได้ลงตัวที่สุด

อีกหนึ่งจุดเด่นสำหรับ BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่ คือ ดีไซน์ที่สง่างาม มันได้รับรางวัลดีไซน์ระดับโลกถึงสองรางวัลในปีนี้ กล่าวคือ รางวัล Red Dot Design Award 2010 และรางวัล Auto Bild Design Award จากคาร์แรคเตอร์ของ BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่ที่โดดเด่นทั้งในด้านเทคโนโลยีทันสมัยและดีไซน์ที่หรูหราสง่างาม บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทยจึงได้จัดงาน Exclusive Preview ขึ้นที่ ‘มหานคร พาวิลเลียน’ เพื่อให้สื่อมวลชนและลูกค้าปัจจุบันของ BMW ซีรี่ย์ 5 ได้มีโอกาสชมก่อนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน BMW Xpo 2010 ปลายไตรมาสที่ 3



สัดส่วนสมดุล ดีไซน์สง่างาม

BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่มีสัดส่วนที่สมดุลอย่างลงตัวในทุกมุมมอง ฐานล้อที่ยาว ประกอบกับลายเส้นแนวขนานด้านข้าง เน้นความพลิ้วไหวอย่างต่อเนื่อง ให้ความรู้สึกถึงความยาวของตัวรถ ในขณะที่แนวหลังคาที่ลาดเทลงให้ความรู้สึกถึงรถแบบสปอร์ตคูเป้ แฝงความสปอร์ตดุดันในความสง่างามได้อย่างแยบยล เส้นขอบหน้าต่างบานหลังหักมุมในแบบ ‘Hofmeister Kink’ ซึ่งนอกจากจะสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นบีเอ็มดับเบิลยูอย่างลงตัวแล้ว ยังขับเน้นถึงความโดดเด่นให้กับผู้โดยสารที่นั่งด้านหลัง

BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่ได้ถูกออกแบบมาให้เน้นถึงความสปอร์ตผสมผสานความหรูหราและสง่างามได้อย่างกลมกลืน ลายเส้นที่ต่อเนื่องจากด้านหน้า ตลอดความยาวตัวรถด้านข้าง อ้อมสู่ด้านหลัง ขับเน้นให้เห็นถึงความหรูหราของรถซาลูนระดับผู้บริหาร ในขณะเดียวกันส่วน Power Dome บนฝากระโปรงหน้าถูกประดับด้วยลายเส้นที่ถูกวางอย่างบรรจงในแนวทแยงมุ่งเข้าสู่สัญลักษณ์ ‘ไตคู่’ ขนาดใหญ่ ขับเน้นถึงความมีอำนาจ แฝงความคมคาย ไฟหน้าพร้อมไฟวงแหวน LED ให้ความรู้สึกเสมือนดวงตาที่จ้องเขม็งอย่างมุ่งมั่น และในด้านหลัง ลายเส้นแนวขวาง ประกอบกับแทร็คที่กว้างและซุ้มล้อที่กางออก บ่งบอกถึงความหนักแน่นและมั่นคง สร้างมุมมองที่น่าประทับใจให้กับผู้พบเห็น

นอกจากความสง่างามที่สร้างให้ BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่โดดเด่นกว่าใครในยามกลางวันแล้ว นักออกแบบของบีเอ็มดับเบิลยูได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบบไฟส่องสว่างและไฟ LED เพื่อสร้างภาพลักษณ์ยามค่ำคืนที่โดดเด่นได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดีไซน์ระบบไฟหน้าที่ผสมผสานระหว่างระบบไฟ LED และไฟหน้าแบบไบ-ซีนอน พร้อมกับพื้นผิวโค้งเว้า สร้างแสงเงาที่สง่างามอย่างแตกต่าง สำหรับด้านหน้า ไฟท้ายที่ใช้ระบบไฟ LED แนวขวาง ถูกออกแบบให้เฉียงขึ้นเล็กน้อย พร้อมทั้งอ้อมรอบตัวถังสู่ด้านข้าง ประกอบกับพื้นผิวโค้งเว้า และลายเส้นแนวขวาง สร้างมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ บ่งบอกถึงความเป็นซาลูนผู้บริหารระดับหรูแม้ยามค่ำคืน


เปี่ยมสมรรถนะ ด้วยเทคโนโลยี EfficientDynamics

BMW 535i ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตรแบบ 6 สูบแถวเรียงรุ่นใหม่ล่าสุด ที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยี EfficientDynamics ที่เหนือชั้น ทั้งระบบอัดอากาศแบบ TwinPower Turbo ที่ทำงานร่วมกับระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC และระบบฉีดน้ำมัน HPI High Precision Injection

เครื่องยนต์ของ BMW 535i เป็นครั้งแรกที่วิศวกรของบีเอ็มดับเบิลยูได้ประยุกต์ใช้ระบบอัดอากาศแบบ TwinPower Turbo ควบคู่ไปกับระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC ระบบ TwinPower Turbo ทำงานโดยใช้หลักการของ Twin-Scroll คือ แบ่งช่องทางเดินไอเสียที่จะป้อนเข้าสู่ระบบเทอร์โบเป็นสองทาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการอัดอากาศเสมือนกับการใช้ระบบเทอร์โบคู่ แต่ประหยัดพลังงานมากกว่า โดยเฉพาะในเรื่องของระบบหล่อเย็นของเทอร์โบ ในขณะเดียวกัน ระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC จะทำหน้าที่ป้อนอากาศในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของเครื่องยนต์ตลอดทุกช่วงรอบ

เครื่องยนต์เบนซินสมรรถนะสูงของ BMW 535i เครื่องนี้สามารถผลิตกำลังสูงสุดถึง 300 แรงม้า แรงบิดสูงสุดถึง 400 นิวตันเมตร ระหว่างรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำเพียง 1,200 ยาวไปถึง 5,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด สามารถสร้างอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 6.1 วินาที อีกทั้งยังมีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 11.9 กิโลเมตรต่อลิตร และค่าเฉลี่ยอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 195 กรัมต่อกิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU


ส่วนอีกรุ่น BMW 530d ใช้เครื่องยนต์ดีเซลแบบ 6 สูบแถวเรียง ขนาด 3.0 ลิตร ผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบา พร้อมด้วยเทคโนโลยีอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผันและเทคโนโลยีระบบฉีดน้ำมันด้วยหัวฉีด Piezo ที่สามารถฉีดน้ำมันด้วยแรงดันสูงถึง 1,800 บาร์

เครื่องยนต์ดีเซลที่มีน้ำหนักเพียงแค่ 185 กิโลกรัมเครื่องนี้สามารถผลิตแรงบิดมหาศาลถึง 540 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ 1,750-3,000 รอบและกำลังสูงสุดถึง 245 แรงม้า ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติไฟฟ้า 8 สปีด สามารถสร้างอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในเวลาเพียง 6.3 วินาที อีกทั้งยังมีความประหยัดน้ำม้นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในคลาส ด้วยอัตราการประหยัดน้ำมันเพียง 16.4 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 160 กรัมต่อกิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU

เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า BMW 530d รุ่นใหม่นี้มีกำลังเพิ่มขึ้นถึง 10 แรงม้าหรือ 4 % แรงบิดเพิ่มขึ้น 8% หรือ 40 นิวตันเมตร ซึ่งทำให้สามารถมีอัตราเร่งที่ดีกว่าเดิมอีก 0.5 วินาที และที่สำคัญ คือ สมรรถนะที่สูงขึ้นนั้นมาพร้อมกับอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้นถึง 8% และอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์น้อยลง 10%

ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด

ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดชุดนี้จัดเป็นสุดยอดนวัตกรรมระบบส่งกำลัง ที่เหนือชั้นกว่าทั้งระบบเกียร์อัตโนมัติและระบบเกียร์แบบคลัทช์คู่ในปัจจุบัน มันสามารถให้ทั้งสมรรถนะ ประสิทธิภาพ และความเร็วในการเปลี่ยนเกียร์ที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ ในขณะเดียวกัน มันยังมีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา

BMW 535i และ BMW 530d ยังมาพร้อมกับระบบฟังก์ชั่น Sport Automatic ซึ่งเป็นระบบเสริมของเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดชุดนี้ ซึ่งนอกจากจะมีดีไซน์พิเศษสำหรับคันเกียร์ที่คอนโซลกลางแล้ว ยังมีระบบแป้นเปลี่ยนเกียร์บนพวงมาลัย ที่ใช้ระบบการเปลี่ยนเกียร์แบบเดียวกับในรถ BMW M ทั้งหลาย คือ เปลี่ยนเกียร์ขึ้นด้วยแป้นด้านขวาและเปลี่ยนเกียร์ลงด้วยแป้นด้านซ้าย

ในด้านนวัตกรรมยานยนต์ ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดชุดนี้จัดได้เป็นหนึ่งในสุดยอดนวัตกรรมยานยนต์ในยุคนี้ มันเป็นระบบชุดเกียร์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในแง่ของความสามารถในการถ่ายทอดกำลัง อีกทั้งยังมีการสูญเสียกำลังที่เกิดขึ้นเนื่องจากแรงเสียดทานภายในระบบน้อยมาก ในการเปลี่ยนเกียร์แต่ละครั้ง จะอาศัยการเปิดคลัทช์เพียงสองชุดเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะทำให้มีประสิทธิภาพสูงแล้ว ยังช่วยให้เกิดความร้อนในระบบน้อยด้วย และด้วยจำนวนชุดเกียร์ที่มีมากถึง 8 ชุด ทำให้มันสามารถมีอัตราทดเกียร์ยาวขึ้นในเกียร์สูง อีกทั้งยังมีระบบบริหารเกียร์ที่ควบคุมด้วยสมองกลอิเลคทรอนิคที่ช่วยทำให้มันเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างเหมาะสมและนุ่มนวลในทุกช่วงความเร็วและประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยมอีกด้วย



ความสะดวกสบายเหนือระดับ

วิศวกรของบีเอ็มดับเบิลยูออกแบบให้ BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่มีความนุ่มสบายในการขับขี่มากขึ้นกว่าในรุ่นเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็ยังไว้ลายความเป็นสุดยอดสปอร์ตซาลูน ฐานล้อของ BMW ซีรี่ย์ 5 ได้รับการเพิ่มความยาวจากรุ่นก่อนหน้าอีก 80 มิลลิเมตร เป็น 2,968 มิลลิเมตร ฐานล้อที่ยาวขึ้นนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มความกว้างขวางสะดวกสบายของห้องโดยสารและเพิ่มความนุ่มสบายสำหรับผู้โดยสารแล้ว ยังเป็นการเพิ่มความปราดเปรียวคล่องตัวในการบังคับรถให้กับผู้ขับด้วย ในด้านของมิติตัวถัง ความยาวของ BMW ซีรี่ย์ 5 ได้รับการเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าอีก 58 มิลลิเมตร เป็น 4,899 มิลลิเมตร ในขณะที่ความกว้างเพิ่มขึ้นอีก 14 มิลลิเมตร เป็น 1,860 มิลลิเมตร แต่ความสูงลดลง 4 มิลลิเมตร อยู่ที่ 1,464 มิลลิเมตร

นอกจากนั้น BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่ยังมีนวัตกรรมช่วงล่างผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบา พร้อมระบบช่วงล่างแบบดับเบิลวิชโบนในด้านหน้า และระบบช่วงล่างแบบมัลติลิงค์ Integral V ในด้านหลัง ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู

ซีรี่ย์ 5 ใหม่ให้ความนุ่มสบายสมกับเป็นซาลูนระดับผู้บริหาร ในขณะที่ยังคงปราดเปรียวอย่างเหนือขั้นในสไตล์สปอร์ตซาลูน สำหรับด้านระบบควบคุมบังคับเลี้ยว วิศวกรของบีเอ็มดับเบิลยูเลือกใช้ระบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่นอกจากสามารถให้การบังคับควบคุมได้อย่างเฉียบคมแล้ว ยังช่วยประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นด้วย และทั้ง BMW 535i และ BMW 530d มาพร้อมกับอ๊อปชั่นระบบเลี้ยวสี่ล้ออัจฉริยะ Integral Active Steering เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับทั้งผู้ขับและผู้โดยสารอีกด้วย



ราคาจำหน่าย รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และ โปรแกรม BSI BMW Service Inclusive 5 ปี / 100,000 กิโลเมตร

BMW 535i (CBU) : 7,599,000 บาท BMW 530d (CBU): 7,299,000 บาท

ข้อมูลจำเพาะ BMW 535i (CBU)

เครื่องยนต์ เบนซิล 3.0 ลิตร

แบบเครื่องยนต์ 6 สูบ แถวเรียง EfficientDynamics

ระบบอัดอากาศ TWIN TURBO

ระบบวาล์ว แปรผัน VALVETRONIC

แรงม้าสูงสุด 300 แรงม้า

แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตรที่ 1,200-5,000 รอบต่อนาที

ระบบเกียร์ อัตโนมัติ 8 สปีด

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 6.1 วินาที

อัตราบริโภคน้ำมัน 11.9 กิโลเมตร/ลิตร

ข้อมูลจำเพาะ BMW 530d (CBU)

เครื่องยนต์ ดีเซล 6 สูบ แถวเรียง

ปริมาตรความจุ 3.0 ลิตร

ระบบอัดอากาศ เทอร์โบแปรผัน

ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง หัวฉีด Piezo

แรงม้าสูงสุด 245 ตัว

แรงบิดสูงสุด 540 นิวตัน-เมตรที่ 1,750-3,000 รอบต่อนาที

ระบบเกียร์ อัตโนมัติ 8 สปีด

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 6.3 วินาที

อัตราบริโภคน้ำมัน 16.4 กิโลเมตร/ลิตร

Mercedes Benz E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว Mercedes-Benz E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE เพื่อเพิ่มความหลากหลายในรุ่น E-Class ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างสูง และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับลูกค้าที่นิยมเครื่องยนต์ดีเซล ชูแนวคิดการประหยัดพลังงาน ลดมลพิษและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยยังคงสมรรถนะและประสิทธิภาพการขับขี่ที่ทรงพลัง

เมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class โฉมใหม่ ประสบความสำเร็จด้วยการเปิดตัวเครื่องยนต์เบนซินในรุ่น E 200 CGI BlueEFFICIENCY ELEGANCE , E 250 CGI BlueEFFICIENCY AVANTGARDE และ E 300 AVANTGARDE และ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค ด้วยความคุ้มค่าไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพที่เหนือกว่าในด้านสมรรถนะ ความปลอดภัย และขับขี่ที่สนุกเพลิดเพลินมากกว่ารุ่นเดิม และยังเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด อาทิ Attention Assis และ Adaptive Highbeam Assist เป็นต้น


นอกจากนี้ E-Class โฉมใหม่ยังพิสูจน์ว่าเหนือกว่ารถอื่นๆ ในรุ่นเดียวกัน ด้วยรางวัลต่างๆ มากมาย อาทิ รถที่ออกแบบดีที่สุดจาก EuroCarBody Award 2009, รถที่ปลอดภัยที่สุดในอเมริการจาก the Insurance Institute for Highway Safety (IIHS) และรถที่มีความปลอดภัยระดับ 5 ดาวจาก Euro NCAP

นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปลายปี 2009 เมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ทั้งยังประสบความสำเร็จเป็นผู้นำตลาดด้วยยอดขายที่สูงที่สุดในรถรุ่นเดียวกัน ซึ่งพิสูจน์ได้จากยอดจำหน่ายในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา ด้วยยอดขายทั้งหมด 1,186 คัน โดยยอดขายส่วนใหญ่นั้นมากจากรุ่น E-Class โฉมใหม่ และด้วยความสำเร็จนี้เองทางบริษัทฯ จึงได้ส่ง E 250 CDI BlueEFFICIENCY เครื่องยนต์ดีเซลเพื่อเพิ่มความหลากหลายและเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคโดยคาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าที่ชื่นชอบเครื่องยนต์ดีเซล”

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) นำเสนอ E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE ด้วยเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ให้สมรรถนะเครื่องยนต์อันทรงพลัง ให้แรงบิดสูงในรอบต่ำและสนองอัตราเร่งได้อย่างรวดเร็วทันใจ โดยมีแรงบิดเพิ่มขึ้นถึง 25% จากเครื่อง V6 รุ่นเดิม นอกจากนี้เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ยังช่วยประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 23% จากรุ่นเดิมอีกด้วย โดยมีอัตราการสิ้นเปลืองเพียง 5.3 ลิตร/100 กม. เท่านั้น ระบบการทำงานของเครื่องยนต์มีความเงียบมากขึ้นกว่าเดิม และยังช่วยลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงความสะดวกสบายในทุกการขับขี่ ที่สำคัญคือยังคงระบบความปลอดภัยสูงสุดตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ไว้อย่างลงตัว


E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี CDI (Common-rail Direct Injection) รุ่นที่ 4 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ มีอุปกรณ์หัวฉีด piezo injectors ที่จ่ายน้ำมันได้อย่างแม่นยำด้วยแรงดันสูงถึง 2,000 บาร์ และแรงอัดอากาศจากเทอร์โบ 2 ชุด (compound turbocharging) ที่มีขนาดต่างกัน โดยเทอร์โบขนาดเล็กจะทำงานที่รอบต่ำ ส่วนเทอร์โบขนาดใหญ่จะทำงานที่รอบสูง ซึ่งส่งผลให้เครื่องยนต์ผลิตแรงบิดสูงอย่างต่อเนื่อง และด้วยการออกแบบห้องเผาไหม้สมบูรณ์แบบ ทำให้อัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ยต่ำเพียง 16 – 17 กม./ลิตร ทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยสู่อากาศโดยเฉลี่ย 154 – 159 กรัม/กม. นอกจากนี้ เพลาถ่วงสมดุลคู่ (two Lanchester balancer shafts) ยังช่วยให้การสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ลดลง ซึ่งผู้โดยสารสามารถรู้สึกได้ถึงการทำงานที่เงียบ ราบเรียบและนุ่มนวลกว่าที่เคย

E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 4 สูบ 16 วาล์ว เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ขนาด 2.2 ลิตร ผลิตกำลังสูงสุดถึง 204 แรงม้า ที่ 4,200 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดมหาศาล 500 นิวตันเมตร ที่รอบการทำงานของเครื่องยนต์ต่ำเพียง 1,600 – 1,800 รอบ/นาที ทะยานจากจุดหยุดนิ่ง 0 – 100 กม./ชม. ด้วยเวลาเพียง 7.8 วินาที และทำความเร็วได้สูงสุดถึง 240 กม./ชม.


ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง หรูหรายิ่งขึ้นด้วยลายไม้ Burr walnut พร้อมไฟเรืองแสงล้อมรอบลายไม้รอบคัน เพิ่มการทำงานสั่งการที่พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง Nappa เพลิดเพลินด้วยวิทยุรุ่น 20 พร้อมเครื่องเล่นซีดี 6 แผ่น และระบบเชื่อมต่อสื่อบันเทิง พร้อมแผงควบคุม controller บนคอนโซลกลางที่ทำงานได้ง่ายสะดวกสบาย

ด้านความปลอดภัย E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE โดดเด่นด้วยระบบ PRE-SAFE? ระบบความปลอดภัยเพื่อการปกป้องก่อนเกิดอุบัติเหตุซึ่งเป็นนวัตกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่กวาดรางวัลมาแล้วมากมาย นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆมากมาย อาทิ ระบบ Adaptive Break ระบบช่วยเบรค BAS ระบบป้องกันล้อล็อค ABS และระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับรถ Attention Assist นอกจากนี้ยังมีถุงลมนิรภัยด้านหน้าและด้านข้างสำหรับคนขับและผู้โดยสารด้านหน้าและม่านถุงลมนิรภัยสำหรับผู้โดยสารทั้ง 4 ตำแหน่ง เสริมความมั่นใจด้วยเข็มขัดนิรภัยแบบผ่อนแรงและรั้งกลับ

นอกจากนี้ E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE ได้ติดตั้งระบบกันสะเทือนแบบ DIRECT CONTROL ที่ช่วยให้การขับขี่เป็นไปแบบคล่องแคล่วปราดเปรียว แต่ยังคงความนุ่มนวลและมีการทรงตัวอย่างดีเยี่ยมด้วยโช้คอัพที่สามารถปรับการทำงานแบบอัตโนมัติให้เหมาะกับทุกสถานการณ์ของการขับขี่

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้กำหนดราคาจำหน่าย E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE อยู่ที่ 3,999,000 บาท
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE ได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ




ข้อมูลทางเทคนิค Mercedes Benz E 250 CDI BlueEFFICIENCY

แบบเครื่องยนต์ ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบคู่ อินเตอร์คูลเลอร์

ปริมาตรความจุ 2,143 ซี.ซี.

แรงม้าสูงสุด 204 แรงม้าที่ 4,200 รอบต่อนาที

แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตรที่ 1,600-1,800 รอบต่อนาที

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 7.8 วินาที

ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม.

ระบบขับเคลื่อน ล้อหลัง

ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง 80 ลิตร

ระบบกันสะเทือน หน้า 3 ลิงค์ / หลัง อิสระ มัลติลิงค์

ระบบพวงมาลัย ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ

พื้นที่บรรทุก 540 ลิตร

รัศมีวงเลี้ยว 11.25 เมตร

ECO CAR รถยนต์ประหยัดพลังงาน เพื่อวันนี้และอนาคต

กระแสเรื่องประหยัดพลังงานกลายเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากบุคคลทั่วไป อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น สำหรับรถอัพเกรดฉบับนี้จะขอนำเสนอที่มาที่ไปของรถอีโอคาร์หรือรถประหยัดพลังงานที่กำลังเป็นจุดสนใจกับผู้ใช้รถยนต์อยู่ ณ ขณะนี้ จากการที่ภาครัฐซึ่งได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของรถประหยัดพลังงานจึงได้มีแนวความคิดส่งเสริมรถประหยัดพลังงานขึ้นมาเป็นรูปธรรมในมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง นโยบายส่งเสริมรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2550 จากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจะส่งเสริมรถยนต์ที่ประหยัดพลังงานและให้ดำเนินการต่อในเรื่องที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอมา ในสามหน่วยงาน คืิอ กระทรวงอุตสาหกรรม บีโอไอ และกระทรวงการคลัง


โดยในส่วนที่ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินการ ประการแรก คือ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศกำหนดคุณสมบัติของรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล โดยให้ครอบคลุมข้อกำหนดทางเทคนิครถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลประการที่สองให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นงานรับผิดชอบในการตรวจสอบและพิจารณาอนุมัติว่ารถยนต์รุ่นใดมีคุณสมบัติเป็นรถยนต์ประหยัดพลังงาน

หน่วยงานที่ 2 คือ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ ให้ออกประกาศส่งเสริมการลงทุน พร้อมทั้งกำหนดสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน แก่กิจการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ที่มีคุณสมบัติรถยนต์ประหยัดพลังงาน

และอีกหน่วยงาน คือ กระทรวงการคลัง ให้ออกประกาศกำหนดให้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล อยู่ในประเภทที่ 05.01 และ 05.02 รายการ (2) รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภทประหยัดพลังงาน

โดยกำหนดให้มีอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตที่เหมาะสม ซึ่งอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป


ทั้งนี้ รถยนต์ที่จะได้รับสิทธิการเสียภาษีสรรพสามิตในอัตราสำหรับรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลนี้ จะต้องเป็นรถยนต์รุ่นที่ได้รับการตรวจสอบและพิจารณาอนุมัติจากกระทรวงอุตสาหกรรมเรียบร้อยแล้ว

จากนั้นกระทรวงการคลังจึงได้เสนอมาตรการภาษีรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (Eco Car) ออกมาเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2550 โดยมีรายละเอียดดังนี้

ตามที่ คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2550 เรื่อง มาตรการภาษีรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (Eco Car) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 17 และเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการลงทุนผลิตและจำหน่ายรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลได้ทันในวันที่ 1 ตุลาคม 2552 นั้น กระทรวงการคลังจึงได้เสนอรายละเอียดของร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 โดยมีรายละเอียดที่เกี่ยวกับรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ดังนี้

รถยนต์นั่ง หรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภทรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ที่จะได้รับการลดอัตราภาษีสรรพสามิตตามความใน (2) ในประเภทที่ 05.01 และ 05.02 ของตอนที่ 5 รถยนต์ หมายถึง รถยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1,300 ลูกบาศก์เซนติเมตร สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1,400 ลูกบาศก์เซนติเมตร สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล โดยต้องแสดงหนังสือรับรองการอนุมัติคุณสมบัติรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ที่ออกโดยกระทรวงอุตสาหกรรม และเป็นไปตามข้อกำหนดทางเทคนิคดังต่อไปนี้


ใช้หรือสามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร ตาม Combine Mode ที่ระบุไว้ในข้อกำหนดทางเทคนิค UNECE Reg. 101 Rev. 1
มาตรฐานมลพิษอยู่ในระดับ EURO 4 ตามข้อกำหนดทางเทคนิค UNECE Reg.83 Rev.2 (2005) หรือระดับที่สูงกว่า หรือที่กระทรวงอุตสาหกรรมประกาศกำหนด
ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากท่อไอเสียไม่เกิน 120 กรัมต่อกิโลเมตร ที่วัดตามหลักเกณฑ์ที่ระบุในข้อกำหนดทางเทคนิค UNECE 101 Rev. 1
มีคุณสมบัติในการป้องกันผู้โดยสาร กรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้าของตัวรถตามมาตรฐาน UNECE Reg.94 Rev.0 หรือระดับที่สูงกว่า และมีคุณสมบัติในการป้องกันผู้โดยสาร กรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านข้างของตัวรถตามมาตรฐาน UNECE ข้อ Reg.95 Rev.0หรือระดับที่สูงกว่า
จากมาตรการหลาย ๆ มาตรการดังกล่าวจึงทำให้มีค่ายรถยนต์สนใจ เริ่มจากค่ายนิสสัน ที่เปิดตัวได้อย่างเร้าใจกับ NISSAN MARCH ที่มาถูกจังหวะจะโคนในช่วงที่ราคาน้ำมันแพงและกระแสรถยนต์ประหยัดน้ำมัน ทำยอดขายทะลุเป้า ทำให้หลายค่ายที่ให้ความสนใจอยู่แล้วต้องเร่งมือกันเป็นการใหญ่ ถึงอย่างไรก็ตามการที่จะตามให้ทันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะแต่ละโครงการไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาครึ่งปี หากต้องวางแพลนกันยาว


แต่ถึงอย่างไรค่ายฮอนด้าก็ประกาศว่าพร้อมเปิดตัวแน่นอนในปลายปีหน้า โดยนำตัวโชว์มาให้เห็นเส้นสายว่ารูปร่างไม่ได้แค่จินตนาการหากออกมาเป็นรูปร่างแล้วที่ได้เห็นกันในงานมอเตอร์โชว์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่วนอีกสามค่ายที่เร่งตัวปรับทัพก็ได้แก่ SUZUKI ที่ประกาศแล้วว่าน่าจะมาเปิดตัวในบ้านเราราวปี 2012 และ MITSUBISHI กับ TOYOTA ก็น่าจะอยู่ราว ๆ ปี 2014 เป็นอย่างช้า ข่าวล่าสุดที่ออกมามิตซูบิชิปรับแผนใหม่โดยแจ้งกับทางภาครัฐว่าจะพร้อมผลิตจริงในปี 2011 และพร้อมทำตลาดในปี 2012 งานนี้อีกหนึ่งถึงสองปีก็จับตาตลาดรถประหยัดพลังงานคงจะมีหลายทางเลือกสำหรับผู้บริโภค ที่สำคัญจะเป็นการช่วยให้ประหยัดทั้งประเทศชาติในอันที่จะลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง และประหยัดในส่วนของผู้ขับขี่ ผู้ใช้รถยนต์ที่จะทุ่นค่าใช้จ่าย สิ่งที่ละเลยไม่ได้ก็คือ เรื่องความปลอดภัย โดยภาครัฐก็กำหนดไว้ในข้อกำหนดทางเทคนิคไว้แล้วในอันที่จะช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับรถยนต์

Hybrid Engine

ในช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันแพงขึ้นอย่างนี้ การช่วยกันประหยัดพลังงานและใช้อย่างรู้คุณค่าคงเป็นแนวทางหนึ่งที่ทุกคนจะช่วยกันได้ เมื่อพูดถึงการใช้น้ำมัน เพื่อนๆ หลายคนคงนึกถึงรถยนต์ ซึ่งถึงแม้จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตในปัจจุบันนี้ แต่ก็ยังคงเป็นผู้บริโภคน้ำมันเป็นอันดับหนึ่ง ต้องพึ่งพาน้ำมันเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์ ด้วยความต้องการที่จะลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และใส่ใจต่อสภาพแวดล้อม ?รถยนต์ไฮบริด? จึงถูกพัฒนาขึ้น

ขณะนี้รถยนต์ไฮบริดมีจำหน่ายทั้งในอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งต่อไปก็คงจะมีเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเหมือนกัน อาซิโมจึงอยากให้เพื่อนๆ เข้าใจถึงการทำงานของเครื่องยนต์ไฮบริดให้มากขึ้น ทำไมหนอรถยนต์ไฮบริดจึงช่วยประหยัดน้ำมัน




สำหรับฮอนด้าแล้ว เครื่องยนต์ไฮบริดถูกเรียกว่า IMA หรือ Integrated Motor Assist เนื่องจากเป็นเครื่องยนต์ลูกผสมที่มีทั้งเครื่องยนต์เผาไหม้ไอดีแบบที่ใช้กันอยู่ในรถบนท้องถนนทุกวันนี้ เป็นพลังขับเคลื่อนหลัก และยังมีมอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ช่วยเสริมการทำงานตลอดการขับ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เป็นลูกครึ่งก็เพราะว่า เป็นเครื่องยนต์ที่ใช้ทั้งน้ำมันและไฟฟ้าช่วยในการขับเคลื่อน อ้าว...แล้วน้ำมันกับไฟฟ้าผสมกันได้ยังไงหล่ะเนี่ย อย่าเพิ่งรีบร้อนซิครับ อาซิโมกำลังจะเล่าต่ออยู่นี่ไง น้ำมันกับไฟฟ้าไม่ได้ผสมกันอย่างที่เพื่อนๆ กำลังเข้าใจ แต่เป็นการรวมกันแบบช่วยเหลือกัน มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเครื่องยนต์ต่างหาก ประมาณว่าผู้ช่วยพระเอกยังไงยังงั้น อย่าเพิ่งถามนะครับว่าแล้วจะประหยัดยังไงเพราะอาซิโมต้องเล่าถึงการทำงานของเครื่องยนต์ IMA ก่อน แล้วเพื่อนก้จะทราบคำตอบ

ในขณะที่รถออกตัว หรือเร่งแซง ซึ่งเครื่องยนต์ต้องการกำลังมากขึ้น แต่เดิมในสภาวะเช่นนี้เครื่องยนต์จะต้องเผาใหม้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นเพื่อให้ได้แรงบิดมากขึ้น เปรียบง่ายๆ กับคนเราที่ต้องหายใจถี่ขึ้นสูดอากาศมากขึ้นเมื่อต้องออกวิ่งหรือพยายามจะเพิ่มความเร็วเพื่อแซงเพื่อนที่วิ่งอยู่ข้างหน้า แต่สำหรับเครื่องยนต์ IMA นี้ มอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยเพิ่มสมถรรถนะ ทำให้ได้แรงบิดเพิ่มขึ้น โดยเครื่องยนต์ไม่ต้องเผาใหม้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น มอเตอร์ไฟฟ้าก็เปรียบเสมือนเราใช้มอเตอร์ไซด์หรือจักรยานเป็นเครื่องทุ่นแรงทำให้ไม่ต้องหอบหายใจถี่ๆ เนื่องจากการวิ่งนั่นเอง

แต่เมื่อขับในระยะทางไกล มอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ทำงาน เพื่อจะใช้กำลังจากเครื่องยนต์ได้อย่างเต็มที่ ในช่วงนี้จะประหยัดมากน้อยขนาดไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันของเครื่องยนต์รุ่นนั้นๆ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่รถยนต์ต้องการกำลังพิเศษเพิ่มเติม มอเตอร์ไฟฟ้าก็พร้อมที่จะช่วยเพิ่มกำลังให้เครื่องยนต์ตลอด ซึ่งขึ้นอยู่กับความเร็วของรถยนต์และการเปิดของลิ้นปีกผีเสื้อ (ลิ้นที่เปิดปิดเพื่อรับอากาศเข้าไปผสมกับน้ำมัน) ในขณะนั้น ถ้าหากรถยนต์วิ่งด้วยความเร็วต่ำ หรือประมาณ 40 กิโลเมตร / ชั่วโมง รถยนต์ก็จะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ในช่วงที่รถยนต์ลดความเร็ว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะการเบรกหรือถอนคันเร่ง กำลังที่เกิดขึ้นในช่วงนี้มักจะสูญเสียไปในรูปของความร้อน และเพื่อที่จะนำพลังงานที่จะต้องสูญเสียไปนี้กลับมาใช้ประโยชน์ มอเตอร์ไฟฟ้าก็จะทำหน้าที่เสมือนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า คอยชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรีเก็บเป็นพลังสำรองไว้ใช้ในเวลาที่รถต้องการพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้านี้ เห็นมั้ยหล่ะครับว่าเราไม่ต้องไปเสียบปลั๊กชาร์จไฟให้ยุ่งยากเลย แถมยังไม่เปลืองไฟอีกต่างหาก นับว่าเป็นการเอาพลังงานที่ต้องสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์กลับมาใช้ได้อย่างชาญฉลาดจริงๆ

ถึงแม้ว่ายังจะต้องพึ่งพาน้ำมันอยู่ แต่รถยนต์ไฮบริดก็ช่วยลดการใช้น้ำมันลงไปได้เยอะเชียวนะครับ อย่างอินไซด์ มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 35 กิโลเมตร/ลิตร ส่วนซีวิคไฮบริดตัวใหม่มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ประมาณ 21.74 กิโลเมตร/ลิตร ในขณะที่รถซึ่งวิ่งกันอยู่บนท้องถนนทุกวันนี้ จะมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ประมาณ 8 ? 16 กิโลเมตร/ลิตร

นอกจากจะประหยัดน้ำมันแล้ว เครื่องยนต์ไฮบริดยังช่วยลดมลภาวะด้วยนะครับ ก็อย่างที่เพื่อนๆ รู้ว่าการเผาใหม้ของเครื่องยนต์จะทำให้เกิดมลภาวะ ทั้งก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ไฮโดรคาร์บอน และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ฝนกรด และมลพิษต่างๆ เครื่องยนต์ไฮบริดซึ่งช่วยลดการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงลง ก็จะทำให้ก๊าซต่างๆ เหล่านี้ลดลงไปด้วย โลกจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

ราคา toyota vios 2011 - 2012 ราคา โตโยต้า วีออส UpDate 25/12/2011



เมื่อวันที่ 08/03/53 toyota ได้ส่ง vios make it happen ออกมาซึ่งเป็นตัวปรับโฉมใหม่เกียร์ auto เป็นแบบ 5 สปีดโดยมีสีภายในให้เลือก 2 แบบคือ Luxury กับ Sporty และมีสีให้เลือกถึง 7 สีเลยทีเดียวและได้ทำการปรับราคาใหม่สูงขึ้นเล็กน้อย





ราคา toyota vios 1.5G Limited ราคาเริ่มต้นรวม Vat และเครื่องปรับอากาศ 714,000 บาท
ราคา toyota vios 1.5G A/T ราคาเริ่มต้นรวม Vat และเครื่องปรับอากาศ 684,000 บาท
ราคา toyota vios 1.5ES ราคาเริ่มต้นรวม Vat และเครื่องปรับอากาศ 639,000 บาท
ราคา toyota vios 1.5E A/T ราคาเริ่มต้นรวม Vat และเครื่องปรับอากาศ 609,000 บาท
ราคา toyota vios 1.5E M/T ราคาเริ่มต้นรวม Vat และเครื่องปรับอากาศ 574,000 บาท
ราคา โตโยต้า วีออส 1.5J A/T (ABS) ราคาเริ่มต้นรวม Vat และเครื่องปรับอากาศ 564,000 บาท
ราคา โตโยต้า วีออส 1.5J มาตรฐาน A/T ราคาเริ่มต้นรวม Vat และเครื่องปรับอากาศ 549,000 บาท
ราคา โตโยต้า วีออส 1.5J มาตรฐาน M/T ราคาเริ่มต้นรวม Vat และเครื่องปรับอากาศ 514,000 บาท
มีผลตั้งแต่ : 8 มีนาคม 2010 ราคาปี 2011 ยังไม่มีการปรับขึ้น

ตำนานรถ Jeep


  ตำนาน  Jeep


ในทุกวันนี้บนท้องถนนบ้านเรามีรถยนต์มากมายหลากหลายแบบ แต่ละรุ่นถูกออกแบบและสร้างสรรออกมาเพื่อประโยชน์ใช้งานแตกต่างกันไปตามแต่ที่บริษัทผู้ผลิตและ ทีมวิศวกรของแต่ละค่ายจะออกแบบและสร้างกันออกมาเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในการขาย ตามยุคสมัย ตามความต้องการและค่านิยม ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆในแต่ละยุค  รถยนต์บางรุ่นออกสู่ตลาดแล้วก็ค่อยๆหายไปกับกาลเวลาไม่มีอะไรให้จดจำ

แต่ยังมีรถยนต์อยู่ชนิดหนึ่งที่ยังคงมีคนกล่าวขวัญถึงและหากใครที่มีอยู่ในครอบครองแล้วขับออกมาวิ่งกินลมรับรองได้ว่าคนที่พบเห็นต้องมองเหลียวหลังพร้อมกับคิดว่าไปขุดมากที่ไหนกันหนอ  แล้วทำอย่างไรถึงยังวิ่งอยู่ได้และอยู่ในสภาพดี

ใช่แล้วครับผมกำลังพูดถึงรถ Jeep ซึ่งผมคิดว่าไม่ว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่ เพียงแค่มองเห็นก็สามารถบอกได้ว่ารถชนิดนี้ เรียกว่ารถอะไร เพราะแม้แต่ผู้ที่ผลิตรถของเล่นยังต้องไม่ลืมที่จะผลิตรถJeepออกมาเอาใจเด็กๆ

เราเคยสงสัยหรือไม่ว่ารถ Jeep ถือกำเนิดขึ้นมาตั่งแต่เมื่อใดแล้วชื่อ Jeep มีที่มาจากที่ใด กันใครเป็นคนตั้งชื่อรถยนต์ประเภทนี้  ขยับเข้ามาเลยครับผมจะเล่าให้ฟัง



ตำนานรถ Jeep เริ่มต้นในปี 1939 ใน ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเมื่อรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาต้องการจัดหารถยนต์อเนกประสงค์ เพื่อใช้ในราชการสงครามแทนรถมอเตอร์ไซด์พ่วงข้างและรถยนต์อื่นๆที่ใช้อยู่ในกองทัพ ตั่งแต่สงครามโลกครั้งที่1

รัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศเปิดประมูลและให้บริษัทเอกชนยื่นแบบ โดยกำหนดคุณสมบัติ โดยรวมของรถยนต์ที่ต้องการคร่าวๆ ดังนี้

1.  สามารถบรรทุกน้ำหนัก 600 ปอนด์ น้ำหนักโดยรวมของตัวรถ ต้องน้อยกว่า 1200 ปอนด์ มีที่โดยสารสำหรับ3คน

2.  ความกว้างของล้อต่ำกว่า 75 นิ้ว กระจกบังลมสามารถปรับขึ้นหรือพับลงได้  เพื่อติดตั่งปืนกลได้

3.      ที่สำคัญมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และสามารถทำความเร็วได้ ที่ 60 ไมล์ต่อ ชั่วโมง



ในเวลานั้นมีบริษัทมากกว่า 135 บริษัทเข้าร่วมการประมูล แต่มีพียง 3บริษัท ที่สามารถที่จะผ่านข้อกำหนดและมีคุณสมบัติพร้อม ได้ แก่ แบนแทม  Bantam, วิลลี่ โอเวอร์ แลนด์  Willy-Overland,  และ  ฟอร์ด มอเตอร์ Ford motor

ในปี 1940 ทั้ง 3 บริษัท ได้เริ่มดำเนินการผลิตรถต้นแบบออกมา โดย แบนแทม  ผลิต Bantam Blitzbuggy วิลลี่ โอเวอร์ แลนด์ ผลิต Old Number Oneและ  ฟอร์ด ได้ผลิต Ford Pygmy ออกมาเพื่อนำเข้าประมูลแข่งขัน

ในครั้งนั้นวิลลี่ โอเวอร์ แลนด์  ชนะการประมูลแต่ก็ต้องหันมาร่วมมือกับ ฟอร์ด เพื่อผลิตเป็น Mass production ให้ทันกับความต้องการที่จะใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งกำลังเริ่มต้นขึ้น และนี้คือจุดเริ่มต้นของตำนาน Jeep ส่วนที่ว่าใครเป็นเจ้าของแบบคนแรกไม่มีบทสรุปที่แน่นอนบ้างก็ว่าเป็นบริษัทแบนแทม บ้างก็ว่าเป็นของ วิลลี่ แต่ก็สามารถพูดได้ว่ารถ Jeep เป็นรถสายพันธ์ที่เกิดจากความคิดและความสามารถของคนอเมริกัน อย่างแท้จริง จนบางคนให้ฉายาว่า อเมริกัน ฮีโร่

สำหรับชื่อ Jeep ไม่มีใครสามารถยืนยันได้แน่นอนว่ามีที่มาจากที่ใดหรือใครเป็นคนตั้งแต่มีการกล่าวว่าเพี้ยนมาจาก ชื่อรุ่น G.P ซึ่งบางคนคิดว่าย่อมาจาก General Purpose แต่จริงๆแล้วย่อมาจาก  G” = GovernmentและPมาจาก รหัสของรุ่นรถที่มีขนาดฐานล้อ 80 นิ้ว ขับ 4x4 และมีน้ำหนักบรรทุก  

แต่ก็มีบางกระแสก็กล่าวไว้ว่า ชื่อ Jeep มาจากการ์ตูน ป๊อปอาย โดยมีตัวการ์ตูนตัวหนึ่ง ชื่อ Jeep ตัวการ์ตูนตัวนี้เป็นเป็นสัตว์เลี้ยงของ

ป๊อปอาย และมีเวทย์มนต์สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่มีใครบันทึกไว้เป็นทางการ

ต่อมาในปี 1942 บริษัท Ford ได้รับคำสั่งซื้อและให้ออกแบบและผลิตJeep รุ่นสะเทินน้ำสะเทินบกออกมาจำนวนหนึ่ง โดยเรียกรุ่นนี้ ว่าSEEP แต่ผลิตออกมาจำนวนไม่มากนักและใช้ใน สงครามเท่านั้น

ในปี1945  Jeep รุ่นแรกที่ผลิตเพื่อขายให้ประชาชนทั่วไป เริ่มผลิตโดยใช้ชื่อรุ่นCJ2A โดยชื่อรุ่น CJ มาจากคำว่า “Civilian Jeep” หรือ Jeep ของพลเรือน และผลิตรุ่นต่อๆมาโดยใช้ชื่อรุ่น CJ3As และ CJ3Bs และผลิตมาจนถึงปี 1968






CJ-2A
รถJeep รุ่นแรกๆ มีสัญลักษณ์  ทีสำคัญคือ กระจังด้านหน้าจะแบนเรียบ และต่อมาได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในรุ่นCJ4 ซึ่งผลิตในปี1951ซึ่งถือได้เป็นรอยต่อระหว่างJeep รุ่นหน้าแบนและหน้ามน หรือที่ในบ้านเราเรียกกันว่า Jeep หน้ากบ

ปี 1952 เริ่มผลิต  M-38A1 สำหรับราชการสงคราม อีกครั้ง

ต่อมาในปี 1954ได้เริ่มผลิตรุ่น CJ-5 สำหรับรุ่นพลเรือน   CJ-5 ได้รับความนิยมและอยู่ในสายการผลิตมากกว่า 30 ปี ซึ่งยาวนานมากกว่ารุ่นใดๆ จนถึงปี 1983 จึงหยุดสายการผลิต และในระยะเวลานั้นได้มีการแก้ไขเล็กๆน้อยๆ และเรียกชื่อรุ่นว่า CJ6 โดยขยายฐานล้อ เป็น101- 104 นิ้ว ตามลำดับแต่รุ่น CJ6 ขึ้นสายการผลิตได้ไม่นานก็ถูกแทนที่

ด้วยรุ่น CJ7 ซึ่ง เป็นรุ่นหนึ่งที่ได้รับความนิยมเช่นกัน โดยเริ่มสายการผลิต ในปี 1976 และผลิตต่อเนื่องมาอีก 10ปี ต่อมาในปี  1981 ถึง 1986 Jeep ได้ผลิต  CJ-8 โดยเรียกชื่อรุ่นว่า  Scrambler ซึ่งมีหน้าตาและลักษณะคล้ายคลึงกับ ปิคอัพในบ้านเราในปัจจุบันเพียงแต่หัวเป็นรถ jeep

 และในปี 1987 รุ่น CJ-7.ได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งโดยเปลี่ยนไฟหน้าเป็นสี่เหลี่ยม  และเรียกชื่อรุ่น YJ  หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ  Wrangler. แล้วผลิตต่อมาอีก 10 ปี แล้วเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น TJ ซึ่งมีลูกเล่นและรายละเอียดเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเช่นเริ่มใช้คอล์ยสปริงเข้สมาแทนปแหนบแผ่นและมีการใส่ Air Bag และ Option อื่นๆ เข้าไป โดยตลอดเวลา 50 ปี Jeep ยังได้ผลิตรถยนต์อื่นๆออกมาอีกหลากหลายรูปแบบทั้ง แบบ SUV , Pick up และรถ VAN   

โดยเราสามารถเรียบเรียงรุ่นของรถJeep ได้จาก รูปรวมรุ่นที่ฝรั่งเขาทำไว้

หากเราหันมาดูประวัติของบริษัทผู้ผลิตรถ Jeep จากอดีตจนถึงปัจจุบัน บริษัท  Jeep ได้ถูกเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นและผู้บริหารมาอย่างน้อยก็ 3 ครั้ง โดยครั้งแรก โดย ประวัติ คร่าวๆ มีดังนี้

ปี 1953  กลุ่มไกเซอร์ Kaiser  ซื้อ  Willys-Overland  แล้วตั่ง ชื่อใหม่ว่า Kaiser-Jeep

ปี 1970 อเมริกัน มอเตอร์ คอร์เปอร์เรชั่น American Motors Corporation (AMC) ซื้อ  Kaiser-Jeep,

 แล้วต่อมา อีก 17 ปีคือในปี 1987 Chrysler  ก็ได้ เข้ามาซื้อกิจการ ของ  AMC.  และในปัจจุบัน Chrysler ก็ได้รวมกับ  Mercedes เป็น  Daimler-Chrysler Corporation. ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของชื่อ Jeep  มาจนถึงทุกวันนี้

ปัจจุบัน Jeep เองมีรถรุ่นล่าสุดผลิตอยู่3 รุ่นคือ กลุ่ม Wrangler (TJ) ซึ่งยังคงความเป็นJeep แบบไม่มีหลังคาอยู่  นอกจากนี้ก็มีรุ่น LIBERTY  (KJ),  และ CHEROKEE และGRAND CHEROKEE (XJ)

จากประวัติที่เล่า มาจะสามารถมองเห็นได้ว่ารถ Jeep เป็นรถยนต์ ที่ออกแบบและสร้างตาม แนวความคิด และจุดประสงค์เพื่อใช้ในสงคราม ดังนั้นทุกๆชิ้นส่วนจึงออกแบบบนเพื้นฐานของความเรียบง่ายด้วยต้นทุนต่ำ ซ่อมบำรุงง่าย ทนทรหด และหลังจากที่ผลิตเพื่อใช้ในสงคราม บริษัทผู้ผลิตก็ได้เริ่มผลิตรุ่นสำหรับประชาชนออกมาเพื่อใช้ในงานทั่วไปในไร่หรืองานก่อสร้าง  ทั้งนี้ ขอให้มองช่วงเวลาที่รถJeep เริ่มทำตลาดอยู่ในอเมริกานะครับว่าคือ เมื่อ30- 50    ปีที่ผ่านมา ซึ่งประเทศสหรัฐเองก็อยู่ในช่วงที่กำลังสร้างประเทศไม่ได้เป็นประเทศร่ำรวยเหมือนในปัจจุบัน

จุดหนึ่งที่น่าสนใจและเราน่าจะเรียนรู้จากประวัติ ของรถ Jeep ก็คือ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2   หลังจากที่ ประเทศญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่2 อย่างยับเยิน และอยู่ในช่วงฟื้นฟูประเทศ รถ Jeep ก็ได้ถูกนำมาผลิตโดยบริษัท มิซูบิชิ โดยอาศัยแบบจากรุ่น M38 หรือCJ3B มาเป็นพื้นฐานในการออกแบบและพัฒนา และรถJeep เหล่านี้ก็ถูกขายเข้ามาในตลาดเอเชีย อาคเนย์ และได้รับความนิยมมากใน

ประเทศฟิลิปปินส์  รวมทั้งประเทศไทยของเรา และบางส่วนก็ถูกนำไปใช้ในสงครามเวียดนามด้วย

นอกจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นประเทศซึ่งเป็นผู้นำในวงการรถยนต์ ระดับโลกไปแล้วยังมีอีกอย่างน้อย ประเทศ ที่มีการผลิตรถยนต์ชนิดนี้และพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ ได้แก่เกาหลีใต้ โดยมีการนำเข้าไปผลิตโดยกลุ่ม SangYong Motor โดยใช้ชื่อว่า Korando และอีกประเทศหนึ่งคือ ประเทศอินเดีย ซึ่งมีการนำรถ Jeep ไปผลิตในนามของ  Jeep MAHINDRA (มาฮินดา) เป็นเวลามากกว่า 20 ปี

โดยช่วงแรกๆJeep อินเดีย ก็อาศัย เทคโนโลยีบางส่วนจากญี่ปุ่นและอเมริกา ต่อมาก็สามารถผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นของตัวเองแถมยังมีการพัฒนาออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งานและยังคงทำการผลิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ และเรียกได้ว่าอินเดียเองก็สามารถเรียนรู้และพัฒนาการผลิตรถยนต์มาจากรถJeep และสามารถผลิตชิ้นส่วนได้เองเกือบ ร้อยเปอร์เซ็นต์



จากจุดเด่นในการออกแบบที่ง่ายและไม่ซับซ้อน ทำให้ประเทศที่มีความต้องการรถยนต์เพื่องานแต่ ยังไม่สามารถผลิตรถยนต์ได้ด้วยตนเองในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  เลือกรถ Jeepมา เป็นรถยนต์รุ่นแรกๆในการที่จะเริ่มผลิตรถยนต์เพื่อใช้เองในประเทศ เพราะการออกแบบที่ไม่สลับซับซ้อนมากและเหมาะสมกับการใช้ในงานกสิกรรม ที่ต้องวิ่งลงท้องไร่ท้องนา หรือถนนที่ทุรกันดารและที่สำคัญผู้ใช้รถก็สามารถที่จะซ่อมบำรุงและดูแลรักษาได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องอาศัยศูนย์บริการ จึงทำให้รถJeepสามารถสร้างความประทับใจให้กับใครก็ตามที่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของหรือ เคยขับหรือแม้แต่โดยสารมันผ่านทางที่ทุระกันดาร ในอดีตที่ผ่านมา

ในช่วง10-15 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยเราเองก็เคยมีคนที่คิดทำรถ Jeep ออกมาจำหน่าย โดยอาศัย แชสซีส และชิ้นส่วนช่วงล่าง จาก รถปิคอัพเก่าจากญี่ปุ่น โดยท่านสามารถเห็นรถJeep เหล่านี้ได้ตามเมืองท่องเที่ยวเช่นชายหาด พัทยา หรือชายหาดต่างๆ ที่มีรถ Jeep ให้ฝรั่งเช่าขับเล่น ซึ่งผู้ที่ผลิตจำหน่าย และมีเชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ รถ Jeep จาก อู่ เปียก ระยอง ซึ่งในตอนนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ายังทำการผลิตอยู่หรือไม่



ทุกวันนี้ ก็ยังคงมีรถJeepสัญชาติ ญี่ปุ่นขนาดเล็กที่ยังทำตลาดอยู่เพียงรุ่นเดียวแต่ก็ยังคงได้รับความนิยมจากนักขับออฟโรด และผู้ที่หลงใหลในรูปแบบ ของรถJeepอยู่ก็คือ SUZUKI SJ410หรือ คาลีเบี่ยน

 จากประวัติที่เล่ามานี้หากเราถือตามสุภาษิตว่า ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตนหากเราถามทหารซักคนว่าต้องการรถยนต์อะไรเพื่อใช้ในสงคราม คำตอบก็คงเป็นรถ Jeep แล้วหากเราหันมามองตัวเราเองหรือประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งเป็นชาวนา ชาวสวนหรือ เจ้าของกิจการร้านขายของ ว่าหากเขาต้องการมีรถยนต์ไว้ใช้งานซักคัน  รถยนต์ ที่เขาสามารถเลือกได้ในเวลานี้ก็คือรถอะไร คงไม่มีคำตอบใดจะดีไปกว่ารถบรรทุกขนาด ตันหรือ ที่เราเรียกว่า ปิคอัพ ซึ่งมีมากมายหลากหลายหลายรุ่นหลากยี่ห้อ หากรุ่นหลายรูปแบบซึ่งราคา ขั้นต่ำ หากเป็นรถใหม่ ก็ประมาณ แสนบาท และหากเอามาใช้แบบสมบุกสมบันในนาในไร่ ก็สามารถ ใช้ได้อยู่ในราว 2-3 ปี แล้วก็ต้องเริ่มซ่อมตัวถังหรือ ชิ้นส่วนอื่นๆ เนื่องจาก ชิ้นส่วนทีเป็นพลาสติกหรือ ยาง เริ่มหมดอายุใช้งาน และตัวถังเริ่มผุ หรือ บุบเสียหายเพราะ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานหนักอย่างจริงจัง หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องไปหาอุปกรณ์เสริมมาช่วยให้กระบะไม่บุบหากนำรถไปบรรทุกของ ซึ่งเป็นเรื่องที่พิจารณาให้ดีๆจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ตลกมากเพราะ เราซื้อรถกระบะซึ่งควรที่จะสามารถบรรทุกสิ่งของได้อย่างสมบุกสมบันแต่กลับต้องไปจัดหาชิ้นส่วนมาเพิ่มเติมเพื่อป้องกันกระบะบุบหรือเป็นรอยขูดขีด นี้ เป็นเรื่องของความสูญเสีย ระดับชาติที่ไม่มีใครให้ความสนใจและคิดจะแก้ไขหากเราเอามาคิดพิจารณา กันดีๆ มันเป็นการสูญเสียอันมหาศาลชองประเทศเรา เพราะ เงิน 4-แสนบาท ที่พี่น้องชาวนาชาวไร่ หรือคนที่กำลังจะสร้างเนื้อสร้างตัวทำ เอาเงินจากการขายผลิตผลทางการเกษตรไปซื้อรถยนต์บรรทุกคันหนึ่งแล้วสามารถใช้งานได้  2-3 ปีแล้วก็ต้องเสียเงินในการซ้อมชิ้นส่วนตัวถัง หรือชิ้นส่วนในห้องโดยสารเพราะแต่ละชิ้นส่วนบอบบางเหลือเกิน

เม็ดเงินจำนวนนี้มีเพียงกี่ เปอร์เซ็นต์ ที่หมุนเวียนและสร้างงานในประเทศไทยของเรา หากประเทศเราเองยังไม่มีความสามารถที่จะผลิตวัถุดิบและยังไม่มีเทคโนโลยีในการผลิตชิ้นส่วนที่ซับซ้อนเช่นเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ หรือ ระบบส่งกำลังได้  และที่สำคัญผู้ลงทุนผลิตรถยนต์เหล่านี้ไม่มีซักยี้ห้อที่มีคนไทยถือหุ้นส่วนใหญ่หรือเป็นเจ้าของซักราย

ซึ่งหากคนไทยเรายังมัวมางมงายกับคำโฆษณาของผู้ผลิตรถยนต์ และยังหลงระเริงอยู่กับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ผู้ผลิตรถยนต์จากค่ายต่างๆทยอยป้อนให้ผู้บริโภคเพื่อที่จะได้สามารถคบคุมได้ว่าคนไทยจะสามารถใช้รถได้กี่ปีแล้วจะต้องเปลี่ยนรถคันใหม่เพราะชิ้นส่วนที่ออกแบบไว้หมดอายุการใช้งานแล้วไม่สามารถที่จะซ่อมได้ ยกเว้นจะวิ่งเข้าศูนย์บริการเพื่อเปลี่ยนชิ้นส่วน ที่หมดสภาพ

 หากเป็นเช่นนี้ คนในประเทศ เราก็คงต้องงมโข่งกันอย่างนี้ไป ไม่รู้จบ

วันหนึ่งในอนาคตผมหวังว่าจะมีโอกาสที่จะเห็น อัศวินขี่ม้าขาวที่กล้าที่จะยืนขึ้นและประกาศว่า เราคนไทยจะสามารถออกแบบรถยนต์และผลิตรถ ที่เหมาะสมกับการใช้งาน โดยใช้เงินทุนของคนไทย เทคโนโลยีของคนไทยเพื่อ ที่จะเป็นทางเลือกใหม่ของคนไทย ที่สามารถจะเลือกใช้รถยนต์ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งานโดยเน้นความเรียบง่ายและคงทน ไม่ได้เน้นที่ความสวยงามหรือ กำลังเครื่องยนต์สูงๆที่ไม่ได้เหมาะสมกับการใช้งาน และที่สำคัญมีราคาที่เหมาะสมทั้งตัวรถและอะไหล่ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ใช้เทคโนโลยี่ที่สามารถดูแลรักษาและซ่อมบำรุงได้ด้วยตนเองหรือช่างทั่วไป ซึ่งรถJeep เป็นตัวอย่างที่ดีของแนวคิดในการออกแบบและพัฒนารถยนต์ที่เหมาะสมกับประเทศท่ไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ผมเชื่อมั่นว่าหากทุกหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นายทุนและนักวิชาการ จากมหาวิทยาลัยต่างๆ หันหน้ามาร่วมมือกันผมเชื่อว่าประเทศไทยเรามีศักยภาพที่สามารถจะร่วมกันพัฒนาออกแบบรถยนต์ที่เป็นของคนไทยเองได้

แม้หากไม่มีใครสามารถรวบรวมกำลังเพื่อทำให้สิ่งนี้เป็นจริงขึ้นมาได้  อย่างน้อยข้อมูลเหล่านี้ ก็เป็นการบอกผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลายว่า เราไม่ได้หูหนวกตาบอดและจะยอมให้หลอกกันไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ควรที่จะคิดว่าจะทำอย่างไรให้รถยนต์ที่ผลิตขึ้นมาขายในรุ่นต่อไปสามารถใช้งานได้ทนทานมากขึ้นและตรงกับการใช้งานไม่ใช่การนำเอาแต่แฟชั่นหรือความสวยงานมาเป็นจุดขายแต่เพียงอย่างเดียวเราอาจจะมองง่ายๆ ว่ารถยนต์ปิคอัพที่ผลิตออกมาขายคันละแสน ยังไม่มีแม้แต่กันชนท้ายต้องไปเสียเงินซื้อติดเอาเอง หรือเรียกกันชนท้ายว่าของแถม ช่างน่าสงสารจริงๆทั้งคนซื้อและคนขาย  

การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกๆฝ่ายหันมาศึกษาในรายละเอียดและร่วมมือกันอย่างจริงจังโดยเฉพาะนักการเมือง เพราะทุกๆสิ่งจะสามารถแก้ไขได้หากเริ่มต้นที่นโยบายระดับชาติ

ก่อนที่วันนั้นจะมาถึงผมหวังว่า ตำนานJeep ที่ผมนำมาเล่าให้ฟังวันนี้จะเป็นแรงกระตุ้นแม้เพียงน้อยนิด ให้คนรุ่นใหม่ที่เผอิญเปิดมาอ่านเรื่องราวที่ผมเล่ามานี้  ได้หยุดคิดสักนิดว่าปัจจุบันว่าเรากำลังตกเป็นทาส ทางเศษกิจและถูกครอบงำ ทางความคิดจากต่างชาติ  ที่เป็นนักลงทุนและเป็นเจ้าของเทคโนโลยี  มากเพียงใด โดยอาจจะดูได้จากการถูกครอบงำค่านิยมในการใช้รถยนต์ของตัวท่าน และลองประเมินว่าตัวท่านเองหาเงินมาเพื่อใช้จ่ายกับรถยนต์ที่ท่านใช้อยู่มากน้อยเพียงใด  แล้วเงินของท่านเหล่านั้นหมุนเวียนอยู่ในประเทศของเราหรือไหลกลับไปยังประเทศที่เป็นนักลงทุนและเจ้าของเทคโนโลยี มากเพียงใด คิดดูดีๆ นะครับ