วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความคุ้มครองต่างๆ สำหรับประกันภัยรถยนต์


1. ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก
บริษัท ผู้รับประกันภัยจะเข้ารับผิดชอบค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอก หากความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกนั้น ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดตามกฎหมาย ซึ่งความคุ้มครองในส่วนนี้จะแบ่งเป็น
1.1 ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย
ซึ่ง จะคุ้มครองความรับผิดต่อความบาดเจ็บ มรณะ โดยบุคคลภายนอกที่ได้รับความคุ้มครองในส่วนนี้ จะรวมทั้งบุคคลที่อยู่ภายนอกรถยนต์คันเอาประกันภัย และบุคคลภายนอกที่โดยสารอยู่ในหรือกำลังขึ้น หรือกำลังลงจากรถยนต์คันเอาประกันภัย โดยจะคุ้มครองเฉพาะจำนวนเงินค่าเสียหายส่วนที่เกินกว่าจำนวนเงินสูงสุดตาม กรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พรบ.) ยกเว้น ผู้ขับขี่รถยนต์คันเอาประกันภัยในขณะเกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งคู่สมรส บิดา มารดา บุตร ลูกจ้างในขณะปฏิบัติงานของผู้ขับขี่
1.2 ความเสียหายต่อทรัพย์สิน
บริษัท ประกันภัยจะรับผิดชอบค่าสินไหมทดแทนความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอกตาม ความเสียหายที่แท้จริง แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย ยกเว้น เป็นทรัพย์สินของผู้ขับขี่รถยนต์คันเอาประกันภัยในขณะเกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งคู่สมรส บิดา มารดา บุตรของผู้ขับขี่
2. รถยนต์เสียหาย สูญหาย ไฟไหม้
2.1 ความเสียหายต่อรถยนต์
ความ คุ้มครองต่อความเสียหายต่อรถยนต์ โดยบริษัทประกันภัยจะชดเชยค่าสินไหมทดแทนความเสียหายในระยะเวลาเอาประกันภัย รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องตกแต่ง หรือสิ่งที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์
2.2 ความเสียหายส่วนแรก
เงื่อนไข ของผู้เอาประกันภัยจะเข้าร่วมรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นตามจำนวนเงิน ที่ระบุในกรมธรรม์ สำหรับกรณีที่รถคันเอาประกันภัยเป็นฝ่ายก่อให้เกิดความเสียหาย
2.3 รถยนต์สูญหายไฟไหม้
การ สูญหายจะรวมถึงการสูญหายทั้งคัน สูญหายบางส่วน สูญหายจากการลักทรัพย์ของลูกจ้าง หรือบุคคลใดเป็นผู้ลักทรัพย์ก็ตาม การเสียหายของรถยนต์ที่เกิดจากไฟไหม้ ไม่ว่าจะเป็นการไหม้ด้วยตัวของมันเอง หรือเป็นการไหม้ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากสาเหตุอื่นใดก็ตาม
3. ความคุ้มครองตามเอกสารแนบท้าย (อนุสัญญา)
3.1 อุบัติเหตุส่วนบุคคล
คุ้ม ครองความบาดเจ็บจากอุบัติเหตุของผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารรถยนต์คันเอาประกัน ภัย หากความบาดเจ็บที่ได้รับเป็นผลให้บุคคลนั้นเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร หรือทุพพลภาพชั่วคราว โดยบริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้
3.2 ค่ารักษาพยาบาล
คุ้ม ครองความบาดเจ็บจากอุบัติเหตุของบุคคลที่อยู่ในรถยนต์คันเอาประกันภัย หากความบาดเจ็บเป็นผลให้ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล โดยบริษัทประกันภัยจะจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าผ่าตัด ค่าโรงพยาบาล ตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้
3.3 การประกันตัวผู้ขับขี่
กรณี ที่ผู้เอาประกันภัย หรือผู้ขับขี่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัย นำรถยนต์คันเอาประกันภัยไปใช้และเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นผลให้ถูกควบคุมตัวไว้ในคดีอาญา ทั้งในชั้นพนักงานสอบสวน พนักงาน อัยการ หรือศาล (จนถึงศาลฎีกา) โดยบริษัทต้องทำการประกันตัวผู้เอาประกันภัย หรือผู้ขับขี่โดยไม่ชักช้า ในวงเงินไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้
4. ส่วนลดระบุอายุผู้ขับขี่
เป็น การคุ้มครองความรับผิดหรือความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกันกันภัย ในกรณีที่บุคคลที่ระบุชื่อเป็นผู้ขับขี่ (กรณีถ้าไม่ใช่ผู้เอาประกันภัยต้องเข้าร่วมรับผิดต่อความเสียหาย) เฉพาะรถยนต์ที่ใช้ส่วนบุคคลเท่านั้น โดยแบ่งเป็น 4 ระดับอายุ คือ
· ช่วงอายุ 18 – 24 ปี ส่วนลด 5%
· ช่วงอายุ 25 – 35 ปี ส่วนลด 10%
· ช่วงอายุ 36 – 50 ปี ส่วนลด 15%
· ช่วงอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป ส่วนลด 20%
5. ส่วนลดความเสียหายส่วนแรก
เป็น ข้อตกลงระหว่างบริษัทประกันภัยกับผู้เอาประกันภัย สำหรับค่าความเสียหายส่วนแรกของทรัพย์สินบุคคลภายนอก และ/หรือความเสียหายส่วนแรกของความเสียหายต่อรถยนต์
6. ส่วนลดกลุ่ม
กรณีที่ผู้เอาประกันภัยมีรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้กับบริษัทประกันภัยตั้งแต่ 3 คันขึ้นไป จะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัยกลุ่ม 10%
7. ส่วนลดประวัติดี
ส่วนลดตามหลักเกณฑ์ส่วนลดเบี้ยประกันภัยประวัติดี ซึ่งคำนวณจากประวัติปีที่ผ่านมา

ที่มา : http://www.cinsurebroker.com/33-ประเภทของประกันภัยรถยนต์.html

ประเภทของประกันภัยรถยนต์


1. การประกันภัยภาคบังคับ
การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า “ประกัน พ.ร.บ.” เป็นการประกันภัยที่กฏหมายบังคับให้รถทุกคัน ทุกประเภท ต้องทำประกันภัย (ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535) เพื่อให้ความคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ให้ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายและค่าเสียหายเบื้องต้นอย่างทันท่วงที และเป็นหลักประกันแก่สถานพยาบาลทุกแห่งว่าได้รับค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่ให้ การรักษาแก่ผู้ประสบภัยจากรถแน่นอน
2. การประกันภัยภาคสมัครใจ
การประกันภัยประกันภัยรถยนต์ซึ่งเป็นการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อ (ผู้เอาประกัน) และผู้ขาย (บริษัทประกันภัย) โดยเป็นการเลือกซื้อความคุ้มครองประกันภัยตามความต้องการที่เหมาะสมของผู้ ซื้อ (ผู้เอาประกันภัย )
การประกันภัยรถยนต์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
การประกันภัยประเภทไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่ จะคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ที่เกิดขึ้นจากการใช้หรือขับขี่โดยได้รับ ความยินยอมจากผู้เอาประกันภัย
การประกันภัยประเภทระบุชื่อผู้ขับขี่ จะคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ที่เกิดขึ้นในขณะที่บุคคลที่ระบุชื่อใน กรมธรรม์เป็นผู้ขับขี่ แต่ถ้าไม่ใช้ผู้เอาประกันภัยต้องเข้าร่วมรับผิดชอบต่อ ความเสียหายส่วนแรก ด้วย
2.1 กรมธรรม์ประเภทสมัครใจ ประเภท 1
ความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
ความรับผิดต่อความเสียหายของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
ความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
2.2 กรมธรรม์ประเภทสมัครใจ ประเภท 2
ความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
ความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
2.3 กรมธรรม์ประเภทสมัครใจ ประเภท 3
ความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
2.4 กรมธรรม์ประเภทสมัครใจ ประเภท 4
ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
2.5 กรมธรรม์ประเภทสมัครใจ ประเภท 5
แบบประกัน 2 พลัส (2+)
· ความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
· ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
· ความ รับผิดต่อความเสียหายของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย กรณีชนกับยานพาหนะทางบก (กรณีชนกับยานพาหนะทางบกและเป็นฝ่ายผิด จะต้องรับผิดชอบความเสียหายส่วนแรกต่อความเสียของตัวรถยนต์ผู้เอาประกันภัย ไม่เกิน 2,000 บาท)
· ความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
แบบประกัน 3 พลัส (3+)
· ความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
· ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
· ความ รับผิดต่อความเสียหายของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย กรณีชนกับยานพาหนะทางบก (กรณีชนกับยานพาหนะทางบกและเป็นฝ่ายผิด จะต้องรับผิดชอบความเสียหายส่วนแรกต่อความเสียของตัวรถยนต์ผู้เอาประกันภัย ไม่เกิน 2,000 บาท)

ที่มา : http://www.cinsurebroker.com/33-ประเภทของประกันภัยรถยนต์.htm

นโยบาย รถคันแรก



ตามที่รัฐบาล 2554 ชุดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีนโยบายรถคันแรก

โดยจะเป็นการคืนเงินภาษีเท่ากับที่จ่ายจริง ในการซื้อรถยนต์คันแรก แต่จะคืนได้ไม่เกิน 100,000 บาท

สำหรับรายละเอียด ข้อกำหนด เงื่อนไขต่างๆ ในการคืนภาษีรถยนต์คันแรก มีดังนี้
ผู้ซื้อต้องอายุ 21 ปีขึ้นไป
ผู้ซื้อจะต้องไม่เคยซื้อรถยนต์มาก่อน
ระยะเวลา จะต้องซื้อตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2555
โดย ราคารถยนต์นั้นจะต้องไม่เกิน 1,000,000 บาท
เครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี (สำหรับรถกระบะจะไม่จำกัด ซีซี)
เป็นรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทยเท่านั้น
ต้องครอบครองไม่น้อยกว่า 5 ปี
เป็นรถใหม่(ป้ายแดง,มือสองไม่ได้)
การคืนเงินภาษีรถคันแรก ภาครัฐจะคืนภาษีได้เมื่อครอบครองรถยนต์ไปแล้วเป็นเวลา 1 ปี


UPDATE : 13 กันยายน 2554

ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรกแล้ว!
เลื่อนระยะเวลาเป็น เริ่มวันที่ 16 กันยายน 2554 - 31 ธันวาคม 2555

วิธีดำเนินการ
1. ผู้ซื้อรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ต้องยื่นคำขอคืนเงินกับกรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ พร้อมเอกสารหลักฐาน ประกอบด้วย
หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนภายใน 5 ปี
สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ
สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ในกรณีเช่าซื้อ)

2. กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่มีหนังสือถึงกรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัด เพื่อขอตรวจสอบการครอบครองรถยนต์คันแรก และแจ้งการสละสิทธิ์การโอนภายใน 5 ปีของผู้ซื้อ

3. กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดตรวจสอบและบันทึก “ห้ามโอนภายใน 5 ปี” ลงในคอมพิวเตอร์และในสมุดคู่มือการจดทะเบียน

4. กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดส่งหนังสือรับรองการครอบครอง รถยนต์คันแรก และสำเนาคู่มือการจดทะเบียนที่บันทึก “ห้ามโอนภายใน 5 ปี” ให้กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่

5. กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ และสั่งจ่ายเช็คให้แก่ผู้ซื้อเมื่อครอบครองครบ 1 ปี โดยจ่ายเป็นเช็คให้ในครั้งเดียว


UPDATE : 17 กันยายน 2554

ปลดล็อคเงื่อนไข ห้ามโอนภายใน 5 ปี กรณีผู้ซื้อรถ(ผ่อน)ผิดนัดไม่สามารถผ่อนชำระต่อได้ ไฟแนนซ์ก็สามารถยื่นเรื่องให้กรมสรรพสามิตตรวจสอบ ว่าเป็นจริง เป็นเหตุสุดวิสัยหรือไม่ ถ้าพิสูจน์ได้ว่าผู้ซื้อรถผิดนัดไม่ผ่อนชำระต่อจริง ก็จะแก้เงื่อนไขกรณีห้ามโอนภายใน 5 ปี ให้สามารถนำรถไปขายทอดตลาดได้
และจะเรียกเงินภาษีจากผู้ที่ซื้อรถไปแล้วแต่ไม่สามารถผ่อนต่อได้ คืนกลับให้กรมสรรพสามิตเท่ากับจำนวนที่ได้รับไป (ผู้ซื้อรถไปแล้วแต่ไม่สามารถผ่อนต่อได้ จะต้องคืนเงินให้กรมสรรพสามิตเท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับการคืนภาษีรถยนต์คันแรก)

--------------------------------------------------------------------------
UPDATE :
นโยบาย รถคันแรก รายละเอียดเงื่อนไขการคืนเงินภาษี ในการซื้อรถยนต์คันแรก
รายละเอียดข้อมูลการคืนเงินรถยนต์คันแรกสำหรับ รถยนต์นั่ง (รถเก๋ง)
รายละเอียดข้อมูลการคืนเงินรถยนต์คันแรกสำหรับ รถยนต์นั่งที่มีกระบะ(Double Cab)
รายละเอียดข้อมูลการคืนเงินรถยนต์คันแรกสำหรับ รถยนต์กระบะ(Pick Up)
ดาวน์โหลด แบบฟอร์ม คำขอคืนเงินและเงื่อนไขสาหรับรถยนต์คันแรก(ฉบับสมบูรณ์)
ดาวน์โหลด แบบฟอร์ม หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนรถยนต์คันแรกภายใน 5 ปี(ฉบับสมบูรณ์)
ตัวอย่าง แบบฟอร์ม หนังสือแจ้งผลการได้รับสิทธิจากกรมสรรพสามิต
คำแนะนำสำหรับประชาชนในการคืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรก

ที่มา : http://thaielectionnews.blogspot.com/2011/09/blog-post.html

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Ferrari 458 Italia สุดยอดสปอร์ตคาร์จากม้าลำพอง


บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด ผู้แทนจำหน่าย และบริการหลังการขายรถยนต์เฟอร์รารี่ แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดตัวรถยนต์เฟอร์รารี่รุ่นใหม่ล่าสุด Ferrari 458 Italia ที่ทั่วโลกต่างจับตามอง ด้วยการมาทดแทนเฟอร์รารี่ รุ่น F430 ได้อย่างสมบูรณ์แบบกับเทคโนโลยีล่าสุดจากสนามแข่งเอฟวัน ด้วยการมีส่วนร่วมในการออกแบบโดยอดีตนักแข่ง F1 7 สมัย Michael Schumacher

Ferrari458 Italia เป็นสปอร์ตคาร์จากค่ายม้าลำพองที่ผลิตจากโรงงานในอิตาลีเพื่อมาทดแทนกับ Ferrari F430 ที่จะปลดระวางหลังอายุครบ 7 ขวบในปีที่แล้ว (F430 เปิดตัวปี 2004 ในงานปารีสมอเตอร์โชว์ โดยรถพวงมาลัยซ้ายเริ่มจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ส่วนพวงมาลัยขวาก็เริ่มจำหน่ายในปี 2005) และก็มาถูกแทนที่ด้วยรุ่นน้อง 458 Italia เมื่อ 28 กรกฏาคม 2009 และจำหน่ายในปีนี้ โดยชื่อรุ่นมาจากปริมาตรความจุกระบอกสูบ (4.5 ลิตร) กับเครื่องยนต์ V8 และชื่อประเทศผลิต จึงกลายมาเป็น Ferrari 458 Italia สุดยอดสปอร์ตคาร์คันนี้


Ferrari 458 Italia มีรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัย โฉบเฉี่ยวตามสไตล์ของการออกแบบจากสถาบันออกแบบรถยนต์ชั้นนำของโลก Pininfarina มาผสานเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยจากการแข่งขันรถยนต์ Formula 1 ทำให้ Ferrari 458 Italia กลายร่างเป็นซูเปอร์คาร์ที่หลุดออกจากคอกมาสู่ท้องถนนโดยยังคงให้อารมณ์การขับขี่ดุจดั่งการขับรถยนต์ฟอร์มูล่าวันกันเลยทีเดียว

Ferrari 458 Italia เป็นรถในสไตล์สปอร์ตคาร์คูเป้ 2 ที่นั่ง ที่ยังให้อารมณ์เดียวกับการขับรถยนต์ฟอร์มูล่าวันมาสู่ท้องถนนจริง ๆ ขณะเดียวกันอัตราการบริโภคน้ำมันก็ไม่ดุเดือด ซอฟท์ลงแต่ยังคงให้อรรถรสคงเดิมและปล่อยไอเสียสู่ท้องถนนน้อยลงกว่ารุ่นพี่ F430 การออกแบบยังคงยึดหลักการจัดเรียงอากาศให้มีระบบแอร์โรไดนามิคได้ดี เส้นสายต่าง ๆ

ออกแบบไว้อย่างลงตัว ช่องดักลมด้านหน้ามุ่งไประบายความร้อนหม้อน้ำ ใต้ท้องรถมีความราบเรียบไร้รอยสะดุด จมูกติดตั้งโลโก้ม้าลำพองเป็นสัญลักษณ์เช่นเดียวกันกับฝากระโปรงหน้าและบริเวณเสา A กับดุมล้อทั้ง 4 ส่วนโคมไฟหน้าเรียวยาวไปจนถึงซุ้มล้อหน้า กระจกบานหลังแผ่นใหญ่มองเห็นตับใตใส้พุงของเครื่องยนต์ที่วางไว้ ไฟท้ายกลมติดตั้งไว้มุมทั้งสองข้าง ท่อไอเสียแบบ 3 ช่องติดตั้งกลางลำใต้กรอบป้ายทะเบียน


เครื่องยนต์ใช้เป็นบล็อกใหม่ 4,499 ซี.ซี. เป็นเครื่องยนต์แบบ V8 Direct injection วางกลางลำ ผลิตแรงม้าออกมาฝูงโต 570 ตัว ที่รอบสูงถึง 9,000 รอบต่อนาที ส่วนแรงบิดผลิตมาถึง 540 นิวตันเมตรที่ 6,000 รอบต่อนาที โดยตามสเป็คบอกว่ากว่า 80 % มาที่รอบประมาณ 3,250 รอบต่อนาที

เสียงเครื่องยนต์ยังคงคำรามตามสไตล์เฟอร์รารี ให้อรรถรสเพิ่มความเร้าใจได้อย่างถึงกึ๋นคนชื่นชอบความแรง โดยมาพร้อมกับระบบเกียร์แบบ 7 สปีด คลัตชคู่ ที่ปรับเปลี่ยนอัตราทดกันอย่างราบรื่นไร้ที่ติ ขณะเดียวกันก็คายไอเสียได้น้อยลง อยู่ที่ 320 กรัม/กิโลเมตร

การลดน้ำหนักอย่างดีทำให้ Ferrari 458 Italia มีน้ำหนักเพียง 1,380 กก. ทำให้ม้าแต่ละตัวแบกน้ำหนักไม่มากเท่าไหร่ คือ มีแรงม้า/น้ำหนักที่ 2.42 กก./แรงม้าเท่านั้น โดยชัสซีผลิตจากอลูมิเนียมจากฝีมือของวิศวกรจากเมือง Maranello อัตราบริโภคน้ำมันจึงดีกว่า F430 (5.464 กม./ลิตร)

ระบบช่วงล่างด้าสหน้ายังคงใช้ดับเบิ้ลวิชโบนและหลังเป็นแบบมัลติลิงค์ให้การควบคุมรถได้อย่างง่ายดาย ระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เบรกของ Brembo มาพร้อม ABS ที่สามารถตัดทอนแรงม้าลงมาให้สงบหยุดนิ่งได้อย่างง่ายดาย โดยในความเร็วจาก 100 กม./ชม.มาถึงจอดสนิทใช้ระยะทางเพียง 32.5 เมตร จึงทำให้มั่นใจได้ว่าแรงม้ากว่า 570 ตัวนั้นเจ้าดิสก์เบรกของ 458 Italia กำหราบอยู่หมัดแน่นอน

สำหรับ Ferrari 458 Italia แล้วจึงนับว่าเป็นรถสำหรับชีวิตประจำวันที่ให้ความสนุกสนานในการขับขี่ และถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็คือ รถซูเปอร์คาร์ที่สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน แต่สนนราคาก็บวกภาษี วัสดุ เครื่องยนต์และแรงดลบันดาลใจของ Michael Schumacher ออกมา


ข้อมูลทางเทคนิค FERRARI 458 Italia

มิติ กว้าง/ยาว/สูง 1,937/4,527/1,213 มม.

ฐานล้อ 2,650 มม.

น้ำหนักสุทธิ 1,380 กก.

การกระจายน้ำหนัก หน้า/หลัง 42%/58%

เครื่องยนต์ V8 4.5 ลิตร

ปริมาตรความจุ 4,499 ซี.ซี.

แรงม้าสูงสุด 570 ตัว (hp) ที่ 9,000 รอบต่อนาที

แรงบิดสูงสุด 540 นิวตัน-เมตรที่ 6,000 รอบต่อนาที

อัตราส่วนกำลังอัด 12.5 ต่อ 1

ระบบเกียร์ Dual-clutch 7 สปีด F1

ความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตร/ชั่วโมง

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 3.4 วินาที

ยาง หน้า 325/35 ZR20 / หลัง 295/35 ZR20

อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 7.299 กม./ลิตร

NEW BMW Series 5 Exclusive Preview


บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทยอวดโฉม BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน BMW Xpo 2010 ปลายไตรมาสที่ 3 นี้ โดยในงาน Exclusive Preview ครั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ได้นำ BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่มาอวดโฉมถึง 2 รุ่น ได้แก่ BMW 535i และ BMW 530d

จากความสำเร็จอย่างท่วมท้นของ BMW ซีรี่ย์ 5 ในตลาดเมืองไทยในช่วงที่ผ่านมา ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับเซ็กเมนท์ซาลูนระดับผู้บริหาร ทั้งในด้านประสิทธิภาพความประหยัดน้ำมัน ความหรูหราสะดวกสบาย และอารมณ์การขับขี่สไตล์สปอร์ตซาลูน บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทยตัดสินใจเลื่อนแผนเปิดตัว BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่ให้เร็วขึ้นเพื่อที่ให้เกิดความต่อเนื่องของตลาด อีกทั้งเป็นการต่อยอดความสำเร็จบนรากฐานที่มั่นคงที่รุ่นเดิมได้สร้างไว้


นอกจาก BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่จะโดดเด่นในด้านสมรรถนะความปราดเปรียวและเทคโนโลยีที่เหนือชั้น ซึ่งเป็นจุดเด่นของบีเอ็มดับเบิลยูอยู่แล้ว มันยังได้ถูกสร้างให้มีความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่เป็นรถซาลูนระดับผู้บริหารที่ผสมผสานระหว่างความหรูหราสะดวกสบายและอารมณ์การขับขี่แบบสปอร์ตซาลูนได้ลงตัวที่สุด

อีกหนึ่งจุดเด่นสำหรับ BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่ คือ ดีไซน์ที่สง่างาม มันได้รับรางวัลดีไซน์ระดับโลกถึงสองรางวัลในปีนี้ กล่าวคือ รางวัล Red Dot Design Award 2010 และรางวัล Auto Bild Design Award จากคาร์แรคเตอร์ของ BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่ที่โดดเด่นทั้งในด้านเทคโนโลยีทันสมัยและดีไซน์ที่หรูหราสง่างาม บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทยจึงได้จัดงาน Exclusive Preview ขึ้นที่ ‘มหานคร พาวิลเลียน’ เพื่อให้สื่อมวลชนและลูกค้าปัจจุบันของ BMW ซีรี่ย์ 5 ได้มีโอกาสชมก่อนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน BMW Xpo 2010 ปลายไตรมาสที่ 3



สัดส่วนสมดุล ดีไซน์สง่างาม

BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่มีสัดส่วนที่สมดุลอย่างลงตัวในทุกมุมมอง ฐานล้อที่ยาว ประกอบกับลายเส้นแนวขนานด้านข้าง เน้นความพลิ้วไหวอย่างต่อเนื่อง ให้ความรู้สึกถึงความยาวของตัวรถ ในขณะที่แนวหลังคาที่ลาดเทลงให้ความรู้สึกถึงรถแบบสปอร์ตคูเป้ แฝงความสปอร์ตดุดันในความสง่างามได้อย่างแยบยล เส้นขอบหน้าต่างบานหลังหักมุมในแบบ ‘Hofmeister Kink’ ซึ่งนอกจากจะสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นบีเอ็มดับเบิลยูอย่างลงตัวแล้ว ยังขับเน้นถึงความโดดเด่นให้กับผู้โดยสารที่นั่งด้านหลัง

BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่ได้ถูกออกแบบมาให้เน้นถึงความสปอร์ตผสมผสานความหรูหราและสง่างามได้อย่างกลมกลืน ลายเส้นที่ต่อเนื่องจากด้านหน้า ตลอดความยาวตัวรถด้านข้าง อ้อมสู่ด้านหลัง ขับเน้นให้เห็นถึงความหรูหราของรถซาลูนระดับผู้บริหาร ในขณะเดียวกันส่วน Power Dome บนฝากระโปรงหน้าถูกประดับด้วยลายเส้นที่ถูกวางอย่างบรรจงในแนวทแยงมุ่งเข้าสู่สัญลักษณ์ ‘ไตคู่’ ขนาดใหญ่ ขับเน้นถึงความมีอำนาจ แฝงความคมคาย ไฟหน้าพร้อมไฟวงแหวน LED ให้ความรู้สึกเสมือนดวงตาที่จ้องเขม็งอย่างมุ่งมั่น และในด้านหลัง ลายเส้นแนวขวาง ประกอบกับแทร็คที่กว้างและซุ้มล้อที่กางออก บ่งบอกถึงความหนักแน่นและมั่นคง สร้างมุมมองที่น่าประทับใจให้กับผู้พบเห็น

นอกจากความสง่างามที่สร้างให้ BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่โดดเด่นกว่าใครในยามกลางวันแล้ว นักออกแบบของบีเอ็มดับเบิลยูได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบบไฟส่องสว่างและไฟ LED เพื่อสร้างภาพลักษณ์ยามค่ำคืนที่โดดเด่นได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดีไซน์ระบบไฟหน้าที่ผสมผสานระหว่างระบบไฟ LED และไฟหน้าแบบไบ-ซีนอน พร้อมกับพื้นผิวโค้งเว้า สร้างแสงเงาที่สง่างามอย่างแตกต่าง สำหรับด้านหน้า ไฟท้ายที่ใช้ระบบไฟ LED แนวขวาง ถูกออกแบบให้เฉียงขึ้นเล็กน้อย พร้อมทั้งอ้อมรอบตัวถังสู่ด้านข้าง ประกอบกับพื้นผิวโค้งเว้า และลายเส้นแนวขวาง สร้างมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ บ่งบอกถึงความเป็นซาลูนผู้บริหารระดับหรูแม้ยามค่ำคืน


เปี่ยมสมรรถนะ ด้วยเทคโนโลยี EfficientDynamics

BMW 535i ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตรแบบ 6 สูบแถวเรียงรุ่นใหม่ล่าสุด ที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยี EfficientDynamics ที่เหนือชั้น ทั้งระบบอัดอากาศแบบ TwinPower Turbo ที่ทำงานร่วมกับระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC และระบบฉีดน้ำมัน HPI High Precision Injection

เครื่องยนต์ของ BMW 535i เป็นครั้งแรกที่วิศวกรของบีเอ็มดับเบิลยูได้ประยุกต์ใช้ระบบอัดอากาศแบบ TwinPower Turbo ควบคู่ไปกับระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC ระบบ TwinPower Turbo ทำงานโดยใช้หลักการของ Twin-Scroll คือ แบ่งช่องทางเดินไอเสียที่จะป้อนเข้าสู่ระบบเทอร์โบเป็นสองทาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการอัดอากาศเสมือนกับการใช้ระบบเทอร์โบคู่ แต่ประหยัดพลังงานมากกว่า โดยเฉพาะในเรื่องของระบบหล่อเย็นของเทอร์โบ ในขณะเดียวกัน ระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC จะทำหน้าที่ป้อนอากาศในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของเครื่องยนต์ตลอดทุกช่วงรอบ

เครื่องยนต์เบนซินสมรรถนะสูงของ BMW 535i เครื่องนี้สามารถผลิตกำลังสูงสุดถึง 300 แรงม้า แรงบิดสูงสุดถึง 400 นิวตันเมตร ระหว่างรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำเพียง 1,200 ยาวไปถึง 5,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด สามารถสร้างอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 6.1 วินาที อีกทั้งยังมีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 11.9 กิโลเมตรต่อลิตร และค่าเฉลี่ยอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 195 กรัมต่อกิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU


ส่วนอีกรุ่น BMW 530d ใช้เครื่องยนต์ดีเซลแบบ 6 สูบแถวเรียง ขนาด 3.0 ลิตร ผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบา พร้อมด้วยเทคโนโลยีอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผันและเทคโนโลยีระบบฉีดน้ำมันด้วยหัวฉีด Piezo ที่สามารถฉีดน้ำมันด้วยแรงดันสูงถึง 1,800 บาร์

เครื่องยนต์ดีเซลที่มีน้ำหนักเพียงแค่ 185 กิโลกรัมเครื่องนี้สามารถผลิตแรงบิดมหาศาลถึง 540 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ 1,750-3,000 รอบและกำลังสูงสุดถึง 245 แรงม้า ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติไฟฟ้า 8 สปีด สามารถสร้างอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในเวลาเพียง 6.3 วินาที อีกทั้งยังมีความประหยัดน้ำม้นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในคลาส ด้วยอัตราการประหยัดน้ำมันเพียง 16.4 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 160 กรัมต่อกิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU

เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า BMW 530d รุ่นใหม่นี้มีกำลังเพิ่มขึ้นถึง 10 แรงม้าหรือ 4 % แรงบิดเพิ่มขึ้น 8% หรือ 40 นิวตันเมตร ซึ่งทำให้สามารถมีอัตราเร่งที่ดีกว่าเดิมอีก 0.5 วินาที และที่สำคัญ คือ สมรรถนะที่สูงขึ้นนั้นมาพร้อมกับอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้นถึง 8% และอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์น้อยลง 10%

ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด

ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดชุดนี้จัดเป็นสุดยอดนวัตกรรมระบบส่งกำลัง ที่เหนือชั้นกว่าทั้งระบบเกียร์อัตโนมัติและระบบเกียร์แบบคลัทช์คู่ในปัจจุบัน มันสามารถให้ทั้งสมรรถนะ ประสิทธิภาพ และความเร็วในการเปลี่ยนเกียร์ที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ ในขณะเดียวกัน มันยังมีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา

BMW 535i และ BMW 530d ยังมาพร้อมกับระบบฟังก์ชั่น Sport Automatic ซึ่งเป็นระบบเสริมของเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดชุดนี้ ซึ่งนอกจากจะมีดีไซน์พิเศษสำหรับคันเกียร์ที่คอนโซลกลางแล้ว ยังมีระบบแป้นเปลี่ยนเกียร์บนพวงมาลัย ที่ใช้ระบบการเปลี่ยนเกียร์แบบเดียวกับในรถ BMW M ทั้งหลาย คือ เปลี่ยนเกียร์ขึ้นด้วยแป้นด้านขวาและเปลี่ยนเกียร์ลงด้วยแป้นด้านซ้าย

ในด้านนวัตกรรมยานยนต์ ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดชุดนี้จัดได้เป็นหนึ่งในสุดยอดนวัตกรรมยานยนต์ในยุคนี้ มันเป็นระบบชุดเกียร์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในแง่ของความสามารถในการถ่ายทอดกำลัง อีกทั้งยังมีการสูญเสียกำลังที่เกิดขึ้นเนื่องจากแรงเสียดทานภายในระบบน้อยมาก ในการเปลี่ยนเกียร์แต่ละครั้ง จะอาศัยการเปิดคลัทช์เพียงสองชุดเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะทำให้มีประสิทธิภาพสูงแล้ว ยังช่วยให้เกิดความร้อนในระบบน้อยด้วย และด้วยจำนวนชุดเกียร์ที่มีมากถึง 8 ชุด ทำให้มันสามารถมีอัตราทดเกียร์ยาวขึ้นในเกียร์สูง อีกทั้งยังมีระบบบริหารเกียร์ที่ควบคุมด้วยสมองกลอิเลคทรอนิคที่ช่วยทำให้มันเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างเหมาะสมและนุ่มนวลในทุกช่วงความเร็วและประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยมอีกด้วย



ความสะดวกสบายเหนือระดับ

วิศวกรของบีเอ็มดับเบิลยูออกแบบให้ BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่มีความนุ่มสบายในการขับขี่มากขึ้นกว่าในรุ่นเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็ยังไว้ลายความเป็นสุดยอดสปอร์ตซาลูน ฐานล้อของ BMW ซีรี่ย์ 5 ได้รับการเพิ่มความยาวจากรุ่นก่อนหน้าอีก 80 มิลลิเมตร เป็น 2,968 มิลลิเมตร ฐานล้อที่ยาวขึ้นนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มความกว้างขวางสะดวกสบายของห้องโดยสารและเพิ่มความนุ่มสบายสำหรับผู้โดยสารแล้ว ยังเป็นการเพิ่มความปราดเปรียวคล่องตัวในการบังคับรถให้กับผู้ขับด้วย ในด้านของมิติตัวถัง ความยาวของ BMW ซีรี่ย์ 5 ได้รับการเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าอีก 58 มิลลิเมตร เป็น 4,899 มิลลิเมตร ในขณะที่ความกว้างเพิ่มขึ้นอีก 14 มิลลิเมตร เป็น 1,860 มิลลิเมตร แต่ความสูงลดลง 4 มิลลิเมตร อยู่ที่ 1,464 มิลลิเมตร

นอกจากนั้น BMW ซีรี่ย์ 5 ใหม่ยังมีนวัตกรรมช่วงล่างผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบา พร้อมระบบช่วงล่างแบบดับเบิลวิชโบนในด้านหน้า และระบบช่วงล่างแบบมัลติลิงค์ Integral V ในด้านหลัง ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู

ซีรี่ย์ 5 ใหม่ให้ความนุ่มสบายสมกับเป็นซาลูนระดับผู้บริหาร ในขณะที่ยังคงปราดเปรียวอย่างเหนือขั้นในสไตล์สปอร์ตซาลูน สำหรับด้านระบบควบคุมบังคับเลี้ยว วิศวกรของบีเอ็มดับเบิลยูเลือกใช้ระบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่นอกจากสามารถให้การบังคับควบคุมได้อย่างเฉียบคมแล้ว ยังช่วยประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นด้วย และทั้ง BMW 535i และ BMW 530d มาพร้อมกับอ๊อปชั่นระบบเลี้ยวสี่ล้ออัจฉริยะ Integral Active Steering เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับทั้งผู้ขับและผู้โดยสารอีกด้วย



ราคาจำหน่าย รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และ โปรแกรม BSI BMW Service Inclusive 5 ปี / 100,000 กิโลเมตร

BMW 535i (CBU) : 7,599,000 บาท BMW 530d (CBU): 7,299,000 บาท

ข้อมูลจำเพาะ BMW 535i (CBU)

เครื่องยนต์ เบนซิล 3.0 ลิตร

แบบเครื่องยนต์ 6 สูบ แถวเรียง EfficientDynamics

ระบบอัดอากาศ TWIN TURBO

ระบบวาล์ว แปรผัน VALVETRONIC

แรงม้าสูงสุด 300 แรงม้า

แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตรที่ 1,200-5,000 รอบต่อนาที

ระบบเกียร์ อัตโนมัติ 8 สปีด

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 6.1 วินาที

อัตราบริโภคน้ำมัน 11.9 กิโลเมตร/ลิตร

ข้อมูลจำเพาะ BMW 530d (CBU)

เครื่องยนต์ ดีเซล 6 สูบ แถวเรียง

ปริมาตรความจุ 3.0 ลิตร

ระบบอัดอากาศ เทอร์โบแปรผัน

ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง หัวฉีด Piezo

แรงม้าสูงสุด 245 ตัว

แรงบิดสูงสุด 540 นิวตัน-เมตรที่ 1,750-3,000 รอบต่อนาที

ระบบเกียร์ อัตโนมัติ 8 สปีด

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 6.3 วินาที

อัตราบริโภคน้ำมัน 16.4 กิโลเมตร/ลิตร

Mercedes Benz E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว Mercedes-Benz E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE เพื่อเพิ่มความหลากหลายในรุ่น E-Class ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างสูง และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับลูกค้าที่นิยมเครื่องยนต์ดีเซล ชูแนวคิดการประหยัดพลังงาน ลดมลพิษและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยยังคงสมรรถนะและประสิทธิภาพการขับขี่ที่ทรงพลัง

เมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class โฉมใหม่ ประสบความสำเร็จด้วยการเปิดตัวเครื่องยนต์เบนซินในรุ่น E 200 CGI BlueEFFICIENCY ELEGANCE , E 250 CGI BlueEFFICIENCY AVANTGARDE และ E 300 AVANTGARDE และ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค ด้วยความคุ้มค่าไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพที่เหนือกว่าในด้านสมรรถนะ ความปลอดภัย และขับขี่ที่สนุกเพลิดเพลินมากกว่ารุ่นเดิม และยังเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด อาทิ Attention Assis และ Adaptive Highbeam Assist เป็นต้น


นอกจากนี้ E-Class โฉมใหม่ยังพิสูจน์ว่าเหนือกว่ารถอื่นๆ ในรุ่นเดียวกัน ด้วยรางวัลต่างๆ มากมาย อาทิ รถที่ออกแบบดีที่สุดจาก EuroCarBody Award 2009, รถที่ปลอดภัยที่สุดในอเมริการจาก the Insurance Institute for Highway Safety (IIHS) และรถที่มีความปลอดภัยระดับ 5 ดาวจาก Euro NCAP

นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปลายปี 2009 เมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ทั้งยังประสบความสำเร็จเป็นผู้นำตลาดด้วยยอดขายที่สูงที่สุดในรถรุ่นเดียวกัน ซึ่งพิสูจน์ได้จากยอดจำหน่ายในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา ด้วยยอดขายทั้งหมด 1,186 คัน โดยยอดขายส่วนใหญ่นั้นมากจากรุ่น E-Class โฉมใหม่ และด้วยความสำเร็จนี้เองทางบริษัทฯ จึงได้ส่ง E 250 CDI BlueEFFICIENCY เครื่องยนต์ดีเซลเพื่อเพิ่มความหลากหลายและเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคโดยคาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าที่ชื่นชอบเครื่องยนต์ดีเซล”

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) นำเสนอ E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE ด้วยเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ให้สมรรถนะเครื่องยนต์อันทรงพลัง ให้แรงบิดสูงในรอบต่ำและสนองอัตราเร่งได้อย่างรวดเร็วทันใจ โดยมีแรงบิดเพิ่มขึ้นถึง 25% จากเครื่อง V6 รุ่นเดิม นอกจากนี้เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ยังช่วยประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 23% จากรุ่นเดิมอีกด้วย โดยมีอัตราการสิ้นเปลืองเพียง 5.3 ลิตร/100 กม. เท่านั้น ระบบการทำงานของเครื่องยนต์มีความเงียบมากขึ้นกว่าเดิม และยังช่วยลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงความสะดวกสบายในทุกการขับขี่ ที่สำคัญคือยังคงระบบความปลอดภัยสูงสุดตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ไว้อย่างลงตัว


E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี CDI (Common-rail Direct Injection) รุ่นที่ 4 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ มีอุปกรณ์หัวฉีด piezo injectors ที่จ่ายน้ำมันได้อย่างแม่นยำด้วยแรงดันสูงถึง 2,000 บาร์ และแรงอัดอากาศจากเทอร์โบ 2 ชุด (compound turbocharging) ที่มีขนาดต่างกัน โดยเทอร์โบขนาดเล็กจะทำงานที่รอบต่ำ ส่วนเทอร์โบขนาดใหญ่จะทำงานที่รอบสูง ซึ่งส่งผลให้เครื่องยนต์ผลิตแรงบิดสูงอย่างต่อเนื่อง และด้วยการออกแบบห้องเผาไหม้สมบูรณ์แบบ ทำให้อัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ยต่ำเพียง 16 – 17 กม./ลิตร ทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยสู่อากาศโดยเฉลี่ย 154 – 159 กรัม/กม. นอกจากนี้ เพลาถ่วงสมดุลคู่ (two Lanchester balancer shafts) ยังช่วยให้การสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ลดลง ซึ่งผู้โดยสารสามารถรู้สึกได้ถึงการทำงานที่เงียบ ราบเรียบและนุ่มนวลกว่าที่เคย

E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 4 สูบ 16 วาล์ว เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ขนาด 2.2 ลิตร ผลิตกำลังสูงสุดถึง 204 แรงม้า ที่ 4,200 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดมหาศาล 500 นิวตันเมตร ที่รอบการทำงานของเครื่องยนต์ต่ำเพียง 1,600 – 1,800 รอบ/นาที ทะยานจากจุดหยุดนิ่ง 0 – 100 กม./ชม. ด้วยเวลาเพียง 7.8 วินาที และทำความเร็วได้สูงสุดถึง 240 กม./ชม.


ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง หรูหรายิ่งขึ้นด้วยลายไม้ Burr walnut พร้อมไฟเรืองแสงล้อมรอบลายไม้รอบคัน เพิ่มการทำงานสั่งการที่พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง Nappa เพลิดเพลินด้วยวิทยุรุ่น 20 พร้อมเครื่องเล่นซีดี 6 แผ่น และระบบเชื่อมต่อสื่อบันเทิง พร้อมแผงควบคุม controller บนคอนโซลกลางที่ทำงานได้ง่ายสะดวกสบาย

ด้านความปลอดภัย E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE โดดเด่นด้วยระบบ PRE-SAFE? ระบบความปลอดภัยเพื่อการปกป้องก่อนเกิดอุบัติเหตุซึ่งเป็นนวัตกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่กวาดรางวัลมาแล้วมากมาย นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆมากมาย อาทิ ระบบ Adaptive Break ระบบช่วยเบรค BAS ระบบป้องกันล้อล็อค ABS และระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับรถ Attention Assist นอกจากนี้ยังมีถุงลมนิรภัยด้านหน้าและด้านข้างสำหรับคนขับและผู้โดยสารด้านหน้าและม่านถุงลมนิรภัยสำหรับผู้โดยสารทั้ง 4 ตำแหน่ง เสริมความมั่นใจด้วยเข็มขัดนิรภัยแบบผ่อนแรงและรั้งกลับ

นอกจากนี้ E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE ได้ติดตั้งระบบกันสะเทือนแบบ DIRECT CONTROL ที่ช่วยให้การขับขี่เป็นไปแบบคล่องแคล่วปราดเปรียว แต่ยังคงความนุ่มนวลและมีการทรงตัวอย่างดีเยี่ยมด้วยโช้คอัพที่สามารถปรับการทำงานแบบอัตโนมัติให้เหมาะกับทุกสถานการณ์ของการขับขี่

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้กำหนดราคาจำหน่าย E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE อยู่ที่ 3,999,000 บาท
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ E 250 CDI BlueEFFICIENCY ELEGANCE ได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ




ข้อมูลทางเทคนิค Mercedes Benz E 250 CDI BlueEFFICIENCY

แบบเครื่องยนต์ ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบคู่ อินเตอร์คูลเลอร์

ปริมาตรความจุ 2,143 ซี.ซี.

แรงม้าสูงสุด 204 แรงม้าที่ 4,200 รอบต่อนาที

แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตรที่ 1,600-1,800 รอบต่อนาที

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 7.8 วินาที

ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม.

ระบบขับเคลื่อน ล้อหลัง

ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง 80 ลิตร

ระบบกันสะเทือน หน้า 3 ลิงค์ / หลัง อิสระ มัลติลิงค์

ระบบพวงมาลัย ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ

พื้นที่บรรทุก 540 ลิตร

รัศมีวงเลี้ยว 11.25 เมตร

ECO CAR รถยนต์ประหยัดพลังงาน เพื่อวันนี้และอนาคต

กระแสเรื่องประหยัดพลังงานกลายเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากบุคคลทั่วไป อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น สำหรับรถอัพเกรดฉบับนี้จะขอนำเสนอที่มาที่ไปของรถอีโอคาร์หรือรถประหยัดพลังงานที่กำลังเป็นจุดสนใจกับผู้ใช้รถยนต์อยู่ ณ ขณะนี้ จากการที่ภาครัฐซึ่งได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของรถประหยัดพลังงานจึงได้มีแนวความคิดส่งเสริมรถประหยัดพลังงานขึ้นมาเป็นรูปธรรมในมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง นโยบายส่งเสริมรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2550 จากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจะส่งเสริมรถยนต์ที่ประหยัดพลังงานและให้ดำเนินการต่อในเรื่องที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอมา ในสามหน่วยงาน คืิอ กระทรวงอุตสาหกรรม บีโอไอ และกระทรวงการคลัง


โดยในส่วนที่ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินการ ประการแรก คือ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศกำหนดคุณสมบัติของรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล โดยให้ครอบคลุมข้อกำหนดทางเทคนิครถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลประการที่สองให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นงานรับผิดชอบในการตรวจสอบและพิจารณาอนุมัติว่ารถยนต์รุ่นใดมีคุณสมบัติเป็นรถยนต์ประหยัดพลังงาน

หน่วยงานที่ 2 คือ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ ให้ออกประกาศส่งเสริมการลงทุน พร้อมทั้งกำหนดสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน แก่กิจการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ที่มีคุณสมบัติรถยนต์ประหยัดพลังงาน

และอีกหน่วยงาน คือ กระทรวงการคลัง ให้ออกประกาศกำหนดให้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล อยู่ในประเภทที่ 05.01 และ 05.02 รายการ (2) รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภทประหยัดพลังงาน

โดยกำหนดให้มีอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตที่เหมาะสม ซึ่งอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป


ทั้งนี้ รถยนต์ที่จะได้รับสิทธิการเสียภาษีสรรพสามิตในอัตราสำหรับรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลนี้ จะต้องเป็นรถยนต์รุ่นที่ได้รับการตรวจสอบและพิจารณาอนุมัติจากกระทรวงอุตสาหกรรมเรียบร้อยแล้ว

จากนั้นกระทรวงการคลังจึงได้เสนอมาตรการภาษีรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (Eco Car) ออกมาเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2550 โดยมีรายละเอียดดังนี้

ตามที่ คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2550 เรื่อง มาตรการภาษีรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (Eco Car) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 17 และเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการลงทุนผลิตและจำหน่ายรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลได้ทันในวันที่ 1 ตุลาคม 2552 นั้น กระทรวงการคลังจึงได้เสนอรายละเอียดของร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 โดยมีรายละเอียดที่เกี่ยวกับรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ดังนี้

รถยนต์นั่ง หรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภทรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ที่จะได้รับการลดอัตราภาษีสรรพสามิตตามความใน (2) ในประเภทที่ 05.01 และ 05.02 ของตอนที่ 5 รถยนต์ หมายถึง รถยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1,300 ลูกบาศก์เซนติเมตร สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1,400 ลูกบาศก์เซนติเมตร สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล โดยต้องแสดงหนังสือรับรองการอนุมัติคุณสมบัติรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ที่ออกโดยกระทรวงอุตสาหกรรม และเป็นไปตามข้อกำหนดทางเทคนิคดังต่อไปนี้


ใช้หรือสามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร ตาม Combine Mode ที่ระบุไว้ในข้อกำหนดทางเทคนิค UNECE Reg. 101 Rev. 1
มาตรฐานมลพิษอยู่ในระดับ EURO 4 ตามข้อกำหนดทางเทคนิค UNECE Reg.83 Rev.2 (2005) หรือระดับที่สูงกว่า หรือที่กระทรวงอุตสาหกรรมประกาศกำหนด
ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากท่อไอเสียไม่เกิน 120 กรัมต่อกิโลเมตร ที่วัดตามหลักเกณฑ์ที่ระบุในข้อกำหนดทางเทคนิค UNECE 101 Rev. 1
มีคุณสมบัติในการป้องกันผู้โดยสาร กรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้าของตัวรถตามมาตรฐาน UNECE Reg.94 Rev.0 หรือระดับที่สูงกว่า และมีคุณสมบัติในการป้องกันผู้โดยสาร กรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านข้างของตัวรถตามมาตรฐาน UNECE ข้อ Reg.95 Rev.0หรือระดับที่สูงกว่า
จากมาตรการหลาย ๆ มาตรการดังกล่าวจึงทำให้มีค่ายรถยนต์สนใจ เริ่มจากค่ายนิสสัน ที่เปิดตัวได้อย่างเร้าใจกับ NISSAN MARCH ที่มาถูกจังหวะจะโคนในช่วงที่ราคาน้ำมันแพงและกระแสรถยนต์ประหยัดน้ำมัน ทำยอดขายทะลุเป้า ทำให้หลายค่ายที่ให้ความสนใจอยู่แล้วต้องเร่งมือกันเป็นการใหญ่ ถึงอย่างไรก็ตามการที่จะตามให้ทันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะแต่ละโครงการไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาครึ่งปี หากต้องวางแพลนกันยาว


แต่ถึงอย่างไรค่ายฮอนด้าก็ประกาศว่าพร้อมเปิดตัวแน่นอนในปลายปีหน้า โดยนำตัวโชว์มาให้เห็นเส้นสายว่ารูปร่างไม่ได้แค่จินตนาการหากออกมาเป็นรูปร่างแล้วที่ได้เห็นกันในงานมอเตอร์โชว์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่วนอีกสามค่ายที่เร่งตัวปรับทัพก็ได้แก่ SUZUKI ที่ประกาศแล้วว่าน่าจะมาเปิดตัวในบ้านเราราวปี 2012 และ MITSUBISHI กับ TOYOTA ก็น่าจะอยู่ราว ๆ ปี 2014 เป็นอย่างช้า ข่าวล่าสุดที่ออกมามิตซูบิชิปรับแผนใหม่โดยแจ้งกับทางภาครัฐว่าจะพร้อมผลิตจริงในปี 2011 และพร้อมทำตลาดในปี 2012 งานนี้อีกหนึ่งถึงสองปีก็จับตาตลาดรถประหยัดพลังงานคงจะมีหลายทางเลือกสำหรับผู้บริโภค ที่สำคัญจะเป็นการช่วยให้ประหยัดทั้งประเทศชาติในอันที่จะลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง และประหยัดในส่วนของผู้ขับขี่ ผู้ใช้รถยนต์ที่จะทุ่นค่าใช้จ่าย สิ่งที่ละเลยไม่ได้ก็คือ เรื่องความปลอดภัย โดยภาครัฐก็กำหนดไว้ในข้อกำหนดทางเทคนิคไว้แล้วในอันที่จะช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับรถยนต์

Hybrid Engine

ในช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันแพงขึ้นอย่างนี้ การช่วยกันประหยัดพลังงานและใช้อย่างรู้คุณค่าคงเป็นแนวทางหนึ่งที่ทุกคนจะช่วยกันได้ เมื่อพูดถึงการใช้น้ำมัน เพื่อนๆ หลายคนคงนึกถึงรถยนต์ ซึ่งถึงแม้จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตในปัจจุบันนี้ แต่ก็ยังคงเป็นผู้บริโภคน้ำมันเป็นอันดับหนึ่ง ต้องพึ่งพาน้ำมันเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์ ด้วยความต้องการที่จะลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และใส่ใจต่อสภาพแวดล้อม ?รถยนต์ไฮบริด? จึงถูกพัฒนาขึ้น

ขณะนี้รถยนต์ไฮบริดมีจำหน่ายทั้งในอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งต่อไปก็คงจะมีเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเหมือนกัน อาซิโมจึงอยากให้เพื่อนๆ เข้าใจถึงการทำงานของเครื่องยนต์ไฮบริดให้มากขึ้น ทำไมหนอรถยนต์ไฮบริดจึงช่วยประหยัดน้ำมัน




สำหรับฮอนด้าแล้ว เครื่องยนต์ไฮบริดถูกเรียกว่า IMA หรือ Integrated Motor Assist เนื่องจากเป็นเครื่องยนต์ลูกผสมที่มีทั้งเครื่องยนต์เผาไหม้ไอดีแบบที่ใช้กันอยู่ในรถบนท้องถนนทุกวันนี้ เป็นพลังขับเคลื่อนหลัก และยังมีมอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ช่วยเสริมการทำงานตลอดการขับ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เป็นลูกครึ่งก็เพราะว่า เป็นเครื่องยนต์ที่ใช้ทั้งน้ำมันและไฟฟ้าช่วยในการขับเคลื่อน อ้าว...แล้วน้ำมันกับไฟฟ้าผสมกันได้ยังไงหล่ะเนี่ย อย่าเพิ่งรีบร้อนซิครับ อาซิโมกำลังจะเล่าต่ออยู่นี่ไง น้ำมันกับไฟฟ้าไม่ได้ผสมกันอย่างที่เพื่อนๆ กำลังเข้าใจ แต่เป็นการรวมกันแบบช่วยเหลือกัน มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเครื่องยนต์ต่างหาก ประมาณว่าผู้ช่วยพระเอกยังไงยังงั้น อย่าเพิ่งถามนะครับว่าแล้วจะประหยัดยังไงเพราะอาซิโมต้องเล่าถึงการทำงานของเครื่องยนต์ IMA ก่อน แล้วเพื่อนก้จะทราบคำตอบ

ในขณะที่รถออกตัว หรือเร่งแซง ซึ่งเครื่องยนต์ต้องการกำลังมากขึ้น แต่เดิมในสภาวะเช่นนี้เครื่องยนต์จะต้องเผาใหม้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นเพื่อให้ได้แรงบิดมากขึ้น เปรียบง่ายๆ กับคนเราที่ต้องหายใจถี่ขึ้นสูดอากาศมากขึ้นเมื่อต้องออกวิ่งหรือพยายามจะเพิ่มความเร็วเพื่อแซงเพื่อนที่วิ่งอยู่ข้างหน้า แต่สำหรับเครื่องยนต์ IMA นี้ มอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยเพิ่มสมถรรถนะ ทำให้ได้แรงบิดเพิ่มขึ้น โดยเครื่องยนต์ไม่ต้องเผาใหม้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น มอเตอร์ไฟฟ้าก็เปรียบเสมือนเราใช้มอเตอร์ไซด์หรือจักรยานเป็นเครื่องทุ่นแรงทำให้ไม่ต้องหอบหายใจถี่ๆ เนื่องจากการวิ่งนั่นเอง

แต่เมื่อขับในระยะทางไกล มอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ทำงาน เพื่อจะใช้กำลังจากเครื่องยนต์ได้อย่างเต็มที่ ในช่วงนี้จะประหยัดมากน้อยขนาดไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันของเครื่องยนต์รุ่นนั้นๆ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่รถยนต์ต้องการกำลังพิเศษเพิ่มเติม มอเตอร์ไฟฟ้าก็พร้อมที่จะช่วยเพิ่มกำลังให้เครื่องยนต์ตลอด ซึ่งขึ้นอยู่กับความเร็วของรถยนต์และการเปิดของลิ้นปีกผีเสื้อ (ลิ้นที่เปิดปิดเพื่อรับอากาศเข้าไปผสมกับน้ำมัน) ในขณะนั้น ถ้าหากรถยนต์วิ่งด้วยความเร็วต่ำ หรือประมาณ 40 กิโลเมตร / ชั่วโมง รถยนต์ก็จะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ในช่วงที่รถยนต์ลดความเร็ว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะการเบรกหรือถอนคันเร่ง กำลังที่เกิดขึ้นในช่วงนี้มักจะสูญเสียไปในรูปของความร้อน และเพื่อที่จะนำพลังงานที่จะต้องสูญเสียไปนี้กลับมาใช้ประโยชน์ มอเตอร์ไฟฟ้าก็จะทำหน้าที่เสมือนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า คอยชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรีเก็บเป็นพลังสำรองไว้ใช้ในเวลาที่รถต้องการพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้านี้ เห็นมั้ยหล่ะครับว่าเราไม่ต้องไปเสียบปลั๊กชาร์จไฟให้ยุ่งยากเลย แถมยังไม่เปลืองไฟอีกต่างหาก นับว่าเป็นการเอาพลังงานที่ต้องสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์กลับมาใช้ได้อย่างชาญฉลาดจริงๆ

ถึงแม้ว่ายังจะต้องพึ่งพาน้ำมันอยู่ แต่รถยนต์ไฮบริดก็ช่วยลดการใช้น้ำมันลงไปได้เยอะเชียวนะครับ อย่างอินไซด์ มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 35 กิโลเมตร/ลิตร ส่วนซีวิคไฮบริดตัวใหม่มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ประมาณ 21.74 กิโลเมตร/ลิตร ในขณะที่รถซึ่งวิ่งกันอยู่บนท้องถนนทุกวันนี้ จะมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ประมาณ 8 ? 16 กิโลเมตร/ลิตร

นอกจากจะประหยัดน้ำมันแล้ว เครื่องยนต์ไฮบริดยังช่วยลดมลภาวะด้วยนะครับ ก็อย่างที่เพื่อนๆ รู้ว่าการเผาใหม้ของเครื่องยนต์จะทำให้เกิดมลภาวะ ทั้งก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ไฮโดรคาร์บอน และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ฝนกรด และมลพิษต่างๆ เครื่องยนต์ไฮบริดซึ่งช่วยลดการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงลง ก็จะทำให้ก๊าซต่างๆ เหล่านี้ลดลงไปด้วย โลกจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ