วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

ราคา toyota vios 2011 - 2012 ราคา โตโยต้า วีออส UpDate 25/12/2011



เมื่อวันที่ 08/03/53 toyota ได้ส่ง vios make it happen ออกมาซึ่งเป็นตัวปรับโฉมใหม่เกียร์ auto เป็นแบบ 5 สปีดโดยมีสีภายในให้เลือก 2 แบบคือ Luxury กับ Sporty และมีสีให้เลือกถึง 7 สีเลยทีเดียวและได้ทำการปรับราคาใหม่สูงขึ้นเล็กน้อย





ราคา toyota vios 1.5G Limited ราคาเริ่มต้นรวม Vat และเครื่องปรับอากาศ 714,000 บาท
ราคา toyota vios 1.5G A/T ราคาเริ่มต้นรวม Vat และเครื่องปรับอากาศ 684,000 บาท
ราคา toyota vios 1.5ES ราคาเริ่มต้นรวม Vat และเครื่องปรับอากาศ 639,000 บาท
ราคา toyota vios 1.5E A/T ราคาเริ่มต้นรวม Vat และเครื่องปรับอากาศ 609,000 บาท
ราคา toyota vios 1.5E M/T ราคาเริ่มต้นรวม Vat และเครื่องปรับอากาศ 574,000 บาท
ราคา โตโยต้า วีออส 1.5J A/T (ABS) ราคาเริ่มต้นรวม Vat และเครื่องปรับอากาศ 564,000 บาท
ราคา โตโยต้า วีออส 1.5J มาตรฐาน A/T ราคาเริ่มต้นรวม Vat และเครื่องปรับอากาศ 549,000 บาท
ราคา โตโยต้า วีออส 1.5J มาตรฐาน M/T ราคาเริ่มต้นรวม Vat และเครื่องปรับอากาศ 514,000 บาท
มีผลตั้งแต่ : 8 มีนาคม 2010 ราคาปี 2011 ยังไม่มีการปรับขึ้น

ตำนานรถ Jeep


  ตำนาน  Jeep


ในทุกวันนี้บนท้องถนนบ้านเรามีรถยนต์มากมายหลากหลายแบบ แต่ละรุ่นถูกออกแบบและสร้างสรรออกมาเพื่อประโยชน์ใช้งานแตกต่างกันไปตามแต่ที่บริษัทผู้ผลิตและ ทีมวิศวกรของแต่ละค่ายจะออกแบบและสร้างกันออกมาเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในการขาย ตามยุคสมัย ตามความต้องการและค่านิยม ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆในแต่ละยุค  รถยนต์บางรุ่นออกสู่ตลาดแล้วก็ค่อยๆหายไปกับกาลเวลาไม่มีอะไรให้จดจำ

แต่ยังมีรถยนต์อยู่ชนิดหนึ่งที่ยังคงมีคนกล่าวขวัญถึงและหากใครที่มีอยู่ในครอบครองแล้วขับออกมาวิ่งกินลมรับรองได้ว่าคนที่พบเห็นต้องมองเหลียวหลังพร้อมกับคิดว่าไปขุดมากที่ไหนกันหนอ  แล้วทำอย่างไรถึงยังวิ่งอยู่ได้และอยู่ในสภาพดี

ใช่แล้วครับผมกำลังพูดถึงรถ Jeep ซึ่งผมคิดว่าไม่ว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่ เพียงแค่มองเห็นก็สามารถบอกได้ว่ารถชนิดนี้ เรียกว่ารถอะไร เพราะแม้แต่ผู้ที่ผลิตรถของเล่นยังต้องไม่ลืมที่จะผลิตรถJeepออกมาเอาใจเด็กๆ

เราเคยสงสัยหรือไม่ว่ารถ Jeep ถือกำเนิดขึ้นมาตั่งแต่เมื่อใดแล้วชื่อ Jeep มีที่มาจากที่ใด กันใครเป็นคนตั้งชื่อรถยนต์ประเภทนี้  ขยับเข้ามาเลยครับผมจะเล่าให้ฟัง



ตำนานรถ Jeep เริ่มต้นในปี 1939 ใน ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเมื่อรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาต้องการจัดหารถยนต์อเนกประสงค์ เพื่อใช้ในราชการสงครามแทนรถมอเตอร์ไซด์พ่วงข้างและรถยนต์อื่นๆที่ใช้อยู่ในกองทัพ ตั่งแต่สงครามโลกครั้งที่1

รัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศเปิดประมูลและให้บริษัทเอกชนยื่นแบบ โดยกำหนดคุณสมบัติ โดยรวมของรถยนต์ที่ต้องการคร่าวๆ ดังนี้

1.  สามารถบรรทุกน้ำหนัก 600 ปอนด์ น้ำหนักโดยรวมของตัวรถ ต้องน้อยกว่า 1200 ปอนด์ มีที่โดยสารสำหรับ3คน

2.  ความกว้างของล้อต่ำกว่า 75 นิ้ว กระจกบังลมสามารถปรับขึ้นหรือพับลงได้  เพื่อติดตั่งปืนกลได้

3.      ที่สำคัญมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และสามารถทำความเร็วได้ ที่ 60 ไมล์ต่อ ชั่วโมง



ในเวลานั้นมีบริษัทมากกว่า 135 บริษัทเข้าร่วมการประมูล แต่มีพียง 3บริษัท ที่สามารถที่จะผ่านข้อกำหนดและมีคุณสมบัติพร้อม ได้ แก่ แบนแทม  Bantam, วิลลี่ โอเวอร์ แลนด์  Willy-Overland,  และ  ฟอร์ด มอเตอร์ Ford motor

ในปี 1940 ทั้ง 3 บริษัท ได้เริ่มดำเนินการผลิตรถต้นแบบออกมา โดย แบนแทม  ผลิต Bantam Blitzbuggy วิลลี่ โอเวอร์ แลนด์ ผลิต Old Number Oneและ  ฟอร์ด ได้ผลิต Ford Pygmy ออกมาเพื่อนำเข้าประมูลแข่งขัน

ในครั้งนั้นวิลลี่ โอเวอร์ แลนด์  ชนะการประมูลแต่ก็ต้องหันมาร่วมมือกับ ฟอร์ด เพื่อผลิตเป็น Mass production ให้ทันกับความต้องการที่จะใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งกำลังเริ่มต้นขึ้น และนี้คือจุดเริ่มต้นของตำนาน Jeep ส่วนที่ว่าใครเป็นเจ้าของแบบคนแรกไม่มีบทสรุปที่แน่นอนบ้างก็ว่าเป็นบริษัทแบนแทม บ้างก็ว่าเป็นของ วิลลี่ แต่ก็สามารถพูดได้ว่ารถ Jeep เป็นรถสายพันธ์ที่เกิดจากความคิดและความสามารถของคนอเมริกัน อย่างแท้จริง จนบางคนให้ฉายาว่า อเมริกัน ฮีโร่

สำหรับชื่อ Jeep ไม่มีใครสามารถยืนยันได้แน่นอนว่ามีที่มาจากที่ใดหรือใครเป็นคนตั้งแต่มีการกล่าวว่าเพี้ยนมาจาก ชื่อรุ่น G.P ซึ่งบางคนคิดว่าย่อมาจาก General Purpose แต่จริงๆแล้วย่อมาจาก  G” = GovernmentและPมาจาก รหัสของรุ่นรถที่มีขนาดฐานล้อ 80 นิ้ว ขับ 4x4 และมีน้ำหนักบรรทุก  

แต่ก็มีบางกระแสก็กล่าวไว้ว่า ชื่อ Jeep มาจากการ์ตูน ป๊อปอาย โดยมีตัวการ์ตูนตัวหนึ่ง ชื่อ Jeep ตัวการ์ตูนตัวนี้เป็นเป็นสัตว์เลี้ยงของ

ป๊อปอาย และมีเวทย์มนต์สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่มีใครบันทึกไว้เป็นทางการ

ต่อมาในปี 1942 บริษัท Ford ได้รับคำสั่งซื้อและให้ออกแบบและผลิตJeep รุ่นสะเทินน้ำสะเทินบกออกมาจำนวนหนึ่ง โดยเรียกรุ่นนี้ ว่าSEEP แต่ผลิตออกมาจำนวนไม่มากนักและใช้ใน สงครามเท่านั้น

ในปี1945  Jeep รุ่นแรกที่ผลิตเพื่อขายให้ประชาชนทั่วไป เริ่มผลิตโดยใช้ชื่อรุ่นCJ2A โดยชื่อรุ่น CJ มาจากคำว่า “Civilian Jeep” หรือ Jeep ของพลเรือน และผลิตรุ่นต่อๆมาโดยใช้ชื่อรุ่น CJ3As และ CJ3Bs และผลิตมาจนถึงปี 1968






CJ-2A
รถJeep รุ่นแรกๆ มีสัญลักษณ์  ทีสำคัญคือ กระจังด้านหน้าจะแบนเรียบ และต่อมาได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในรุ่นCJ4 ซึ่งผลิตในปี1951ซึ่งถือได้เป็นรอยต่อระหว่างJeep รุ่นหน้าแบนและหน้ามน หรือที่ในบ้านเราเรียกกันว่า Jeep หน้ากบ

ปี 1952 เริ่มผลิต  M-38A1 สำหรับราชการสงคราม อีกครั้ง

ต่อมาในปี 1954ได้เริ่มผลิตรุ่น CJ-5 สำหรับรุ่นพลเรือน   CJ-5 ได้รับความนิยมและอยู่ในสายการผลิตมากกว่า 30 ปี ซึ่งยาวนานมากกว่ารุ่นใดๆ จนถึงปี 1983 จึงหยุดสายการผลิต และในระยะเวลานั้นได้มีการแก้ไขเล็กๆน้อยๆ และเรียกชื่อรุ่นว่า CJ6 โดยขยายฐานล้อ เป็น101- 104 นิ้ว ตามลำดับแต่รุ่น CJ6 ขึ้นสายการผลิตได้ไม่นานก็ถูกแทนที่

ด้วยรุ่น CJ7 ซึ่ง เป็นรุ่นหนึ่งที่ได้รับความนิยมเช่นกัน โดยเริ่มสายการผลิต ในปี 1976 และผลิตต่อเนื่องมาอีก 10ปี ต่อมาในปี  1981 ถึง 1986 Jeep ได้ผลิต  CJ-8 โดยเรียกชื่อรุ่นว่า  Scrambler ซึ่งมีหน้าตาและลักษณะคล้ายคลึงกับ ปิคอัพในบ้านเราในปัจจุบันเพียงแต่หัวเป็นรถ jeep

 และในปี 1987 รุ่น CJ-7.ได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งโดยเปลี่ยนไฟหน้าเป็นสี่เหลี่ยม  และเรียกชื่อรุ่น YJ  หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ  Wrangler. แล้วผลิตต่อมาอีก 10 ปี แล้วเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น TJ ซึ่งมีลูกเล่นและรายละเอียดเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเช่นเริ่มใช้คอล์ยสปริงเข้สมาแทนปแหนบแผ่นและมีการใส่ Air Bag และ Option อื่นๆ เข้าไป โดยตลอดเวลา 50 ปี Jeep ยังได้ผลิตรถยนต์อื่นๆออกมาอีกหลากหลายรูปแบบทั้ง แบบ SUV , Pick up และรถ VAN   

โดยเราสามารถเรียบเรียงรุ่นของรถJeep ได้จาก รูปรวมรุ่นที่ฝรั่งเขาทำไว้

หากเราหันมาดูประวัติของบริษัทผู้ผลิตรถ Jeep จากอดีตจนถึงปัจจุบัน บริษัท  Jeep ได้ถูกเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นและผู้บริหารมาอย่างน้อยก็ 3 ครั้ง โดยครั้งแรก โดย ประวัติ คร่าวๆ มีดังนี้

ปี 1953  กลุ่มไกเซอร์ Kaiser  ซื้อ  Willys-Overland  แล้วตั่ง ชื่อใหม่ว่า Kaiser-Jeep

ปี 1970 อเมริกัน มอเตอร์ คอร์เปอร์เรชั่น American Motors Corporation (AMC) ซื้อ  Kaiser-Jeep,

 แล้วต่อมา อีก 17 ปีคือในปี 1987 Chrysler  ก็ได้ เข้ามาซื้อกิจการ ของ  AMC.  และในปัจจุบัน Chrysler ก็ได้รวมกับ  Mercedes เป็น  Daimler-Chrysler Corporation. ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของชื่อ Jeep  มาจนถึงทุกวันนี้

ปัจจุบัน Jeep เองมีรถรุ่นล่าสุดผลิตอยู่3 รุ่นคือ กลุ่ม Wrangler (TJ) ซึ่งยังคงความเป็นJeep แบบไม่มีหลังคาอยู่  นอกจากนี้ก็มีรุ่น LIBERTY  (KJ),  และ CHEROKEE และGRAND CHEROKEE (XJ)

จากประวัติที่เล่า มาจะสามารถมองเห็นได้ว่ารถ Jeep เป็นรถยนต์ ที่ออกแบบและสร้างตาม แนวความคิด และจุดประสงค์เพื่อใช้ในสงคราม ดังนั้นทุกๆชิ้นส่วนจึงออกแบบบนเพื้นฐานของความเรียบง่ายด้วยต้นทุนต่ำ ซ่อมบำรุงง่าย ทนทรหด และหลังจากที่ผลิตเพื่อใช้ในสงคราม บริษัทผู้ผลิตก็ได้เริ่มผลิตรุ่นสำหรับประชาชนออกมาเพื่อใช้ในงานทั่วไปในไร่หรืองานก่อสร้าง  ทั้งนี้ ขอให้มองช่วงเวลาที่รถJeep เริ่มทำตลาดอยู่ในอเมริกานะครับว่าคือ เมื่อ30- 50    ปีที่ผ่านมา ซึ่งประเทศสหรัฐเองก็อยู่ในช่วงที่กำลังสร้างประเทศไม่ได้เป็นประเทศร่ำรวยเหมือนในปัจจุบัน

จุดหนึ่งที่น่าสนใจและเราน่าจะเรียนรู้จากประวัติ ของรถ Jeep ก็คือ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2   หลังจากที่ ประเทศญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่2 อย่างยับเยิน และอยู่ในช่วงฟื้นฟูประเทศ รถ Jeep ก็ได้ถูกนำมาผลิตโดยบริษัท มิซูบิชิ โดยอาศัยแบบจากรุ่น M38 หรือCJ3B มาเป็นพื้นฐานในการออกแบบและพัฒนา และรถJeep เหล่านี้ก็ถูกขายเข้ามาในตลาดเอเชีย อาคเนย์ และได้รับความนิยมมากใน

ประเทศฟิลิปปินส์  รวมทั้งประเทศไทยของเรา และบางส่วนก็ถูกนำไปใช้ในสงครามเวียดนามด้วย

นอกจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นประเทศซึ่งเป็นผู้นำในวงการรถยนต์ ระดับโลกไปแล้วยังมีอีกอย่างน้อย ประเทศ ที่มีการผลิตรถยนต์ชนิดนี้และพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ ได้แก่เกาหลีใต้ โดยมีการนำเข้าไปผลิตโดยกลุ่ม SangYong Motor โดยใช้ชื่อว่า Korando และอีกประเทศหนึ่งคือ ประเทศอินเดีย ซึ่งมีการนำรถ Jeep ไปผลิตในนามของ  Jeep MAHINDRA (มาฮินดา) เป็นเวลามากกว่า 20 ปี

โดยช่วงแรกๆJeep อินเดีย ก็อาศัย เทคโนโลยีบางส่วนจากญี่ปุ่นและอเมริกา ต่อมาก็สามารถผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นของตัวเองแถมยังมีการพัฒนาออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งานและยังคงทำการผลิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ และเรียกได้ว่าอินเดียเองก็สามารถเรียนรู้และพัฒนาการผลิตรถยนต์มาจากรถJeep และสามารถผลิตชิ้นส่วนได้เองเกือบ ร้อยเปอร์เซ็นต์



จากจุดเด่นในการออกแบบที่ง่ายและไม่ซับซ้อน ทำให้ประเทศที่มีความต้องการรถยนต์เพื่องานแต่ ยังไม่สามารถผลิตรถยนต์ได้ด้วยตนเองในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  เลือกรถ Jeepมา เป็นรถยนต์รุ่นแรกๆในการที่จะเริ่มผลิตรถยนต์เพื่อใช้เองในประเทศ เพราะการออกแบบที่ไม่สลับซับซ้อนมากและเหมาะสมกับการใช้ในงานกสิกรรม ที่ต้องวิ่งลงท้องไร่ท้องนา หรือถนนที่ทุรกันดารและที่สำคัญผู้ใช้รถก็สามารถที่จะซ่อมบำรุงและดูแลรักษาได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องอาศัยศูนย์บริการ จึงทำให้รถJeepสามารถสร้างความประทับใจให้กับใครก็ตามที่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของหรือ เคยขับหรือแม้แต่โดยสารมันผ่านทางที่ทุระกันดาร ในอดีตที่ผ่านมา

ในช่วง10-15 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยเราเองก็เคยมีคนที่คิดทำรถ Jeep ออกมาจำหน่าย โดยอาศัย แชสซีส และชิ้นส่วนช่วงล่าง จาก รถปิคอัพเก่าจากญี่ปุ่น โดยท่านสามารถเห็นรถJeep เหล่านี้ได้ตามเมืองท่องเที่ยวเช่นชายหาด พัทยา หรือชายหาดต่างๆ ที่มีรถ Jeep ให้ฝรั่งเช่าขับเล่น ซึ่งผู้ที่ผลิตจำหน่าย และมีเชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ รถ Jeep จาก อู่ เปียก ระยอง ซึ่งในตอนนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ายังทำการผลิตอยู่หรือไม่



ทุกวันนี้ ก็ยังคงมีรถJeepสัญชาติ ญี่ปุ่นขนาดเล็กที่ยังทำตลาดอยู่เพียงรุ่นเดียวแต่ก็ยังคงได้รับความนิยมจากนักขับออฟโรด และผู้ที่หลงใหลในรูปแบบ ของรถJeepอยู่ก็คือ SUZUKI SJ410หรือ คาลีเบี่ยน

 จากประวัติที่เล่ามานี้หากเราถือตามสุภาษิตว่า ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตนหากเราถามทหารซักคนว่าต้องการรถยนต์อะไรเพื่อใช้ในสงคราม คำตอบก็คงเป็นรถ Jeep แล้วหากเราหันมามองตัวเราเองหรือประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งเป็นชาวนา ชาวสวนหรือ เจ้าของกิจการร้านขายของ ว่าหากเขาต้องการมีรถยนต์ไว้ใช้งานซักคัน  รถยนต์ ที่เขาสามารถเลือกได้ในเวลานี้ก็คือรถอะไร คงไม่มีคำตอบใดจะดีไปกว่ารถบรรทุกขนาด ตันหรือ ที่เราเรียกว่า ปิคอัพ ซึ่งมีมากมายหลากหลายหลายรุ่นหลากยี่ห้อ หากรุ่นหลายรูปแบบซึ่งราคา ขั้นต่ำ หากเป็นรถใหม่ ก็ประมาณ แสนบาท และหากเอามาใช้แบบสมบุกสมบันในนาในไร่ ก็สามารถ ใช้ได้อยู่ในราว 2-3 ปี แล้วก็ต้องเริ่มซ่อมตัวถังหรือ ชิ้นส่วนอื่นๆ เนื่องจาก ชิ้นส่วนทีเป็นพลาสติกหรือ ยาง เริ่มหมดอายุใช้งาน และตัวถังเริ่มผุ หรือ บุบเสียหายเพราะ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานหนักอย่างจริงจัง หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องไปหาอุปกรณ์เสริมมาช่วยให้กระบะไม่บุบหากนำรถไปบรรทุกของ ซึ่งเป็นเรื่องที่พิจารณาให้ดีๆจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ตลกมากเพราะ เราซื้อรถกระบะซึ่งควรที่จะสามารถบรรทุกสิ่งของได้อย่างสมบุกสมบันแต่กลับต้องไปจัดหาชิ้นส่วนมาเพิ่มเติมเพื่อป้องกันกระบะบุบหรือเป็นรอยขูดขีด นี้ เป็นเรื่องของความสูญเสีย ระดับชาติที่ไม่มีใครให้ความสนใจและคิดจะแก้ไขหากเราเอามาคิดพิจารณา กันดีๆ มันเป็นการสูญเสียอันมหาศาลชองประเทศเรา เพราะ เงิน 4-แสนบาท ที่พี่น้องชาวนาชาวไร่ หรือคนที่กำลังจะสร้างเนื้อสร้างตัวทำ เอาเงินจากการขายผลิตผลทางการเกษตรไปซื้อรถยนต์บรรทุกคันหนึ่งแล้วสามารถใช้งานได้  2-3 ปีแล้วก็ต้องเสียเงินในการซ้อมชิ้นส่วนตัวถัง หรือชิ้นส่วนในห้องโดยสารเพราะแต่ละชิ้นส่วนบอบบางเหลือเกิน

เม็ดเงินจำนวนนี้มีเพียงกี่ เปอร์เซ็นต์ ที่หมุนเวียนและสร้างงานในประเทศไทยของเรา หากประเทศเราเองยังไม่มีความสามารถที่จะผลิตวัถุดิบและยังไม่มีเทคโนโลยีในการผลิตชิ้นส่วนที่ซับซ้อนเช่นเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ หรือ ระบบส่งกำลังได้  และที่สำคัญผู้ลงทุนผลิตรถยนต์เหล่านี้ไม่มีซักยี้ห้อที่มีคนไทยถือหุ้นส่วนใหญ่หรือเป็นเจ้าของซักราย

ซึ่งหากคนไทยเรายังมัวมางมงายกับคำโฆษณาของผู้ผลิตรถยนต์ และยังหลงระเริงอยู่กับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ผู้ผลิตรถยนต์จากค่ายต่างๆทยอยป้อนให้ผู้บริโภคเพื่อที่จะได้สามารถคบคุมได้ว่าคนไทยจะสามารถใช้รถได้กี่ปีแล้วจะต้องเปลี่ยนรถคันใหม่เพราะชิ้นส่วนที่ออกแบบไว้หมดอายุการใช้งานแล้วไม่สามารถที่จะซ่อมได้ ยกเว้นจะวิ่งเข้าศูนย์บริการเพื่อเปลี่ยนชิ้นส่วน ที่หมดสภาพ

 หากเป็นเช่นนี้ คนในประเทศ เราก็คงต้องงมโข่งกันอย่างนี้ไป ไม่รู้จบ

วันหนึ่งในอนาคตผมหวังว่าจะมีโอกาสที่จะเห็น อัศวินขี่ม้าขาวที่กล้าที่จะยืนขึ้นและประกาศว่า เราคนไทยจะสามารถออกแบบรถยนต์และผลิตรถ ที่เหมาะสมกับการใช้งาน โดยใช้เงินทุนของคนไทย เทคโนโลยีของคนไทยเพื่อ ที่จะเป็นทางเลือกใหม่ของคนไทย ที่สามารถจะเลือกใช้รถยนต์ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งานโดยเน้นความเรียบง่ายและคงทน ไม่ได้เน้นที่ความสวยงามหรือ กำลังเครื่องยนต์สูงๆที่ไม่ได้เหมาะสมกับการใช้งาน และที่สำคัญมีราคาที่เหมาะสมทั้งตัวรถและอะไหล่ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ใช้เทคโนโลยี่ที่สามารถดูแลรักษาและซ่อมบำรุงได้ด้วยตนเองหรือช่างทั่วไป ซึ่งรถJeep เป็นตัวอย่างที่ดีของแนวคิดในการออกแบบและพัฒนารถยนต์ที่เหมาะสมกับประเทศท่ไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ผมเชื่อมั่นว่าหากทุกหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นายทุนและนักวิชาการ จากมหาวิทยาลัยต่างๆ หันหน้ามาร่วมมือกันผมเชื่อว่าประเทศไทยเรามีศักยภาพที่สามารถจะร่วมกันพัฒนาออกแบบรถยนต์ที่เป็นของคนไทยเองได้

แม้หากไม่มีใครสามารถรวบรวมกำลังเพื่อทำให้สิ่งนี้เป็นจริงขึ้นมาได้  อย่างน้อยข้อมูลเหล่านี้ ก็เป็นการบอกผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลายว่า เราไม่ได้หูหนวกตาบอดและจะยอมให้หลอกกันไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ควรที่จะคิดว่าจะทำอย่างไรให้รถยนต์ที่ผลิตขึ้นมาขายในรุ่นต่อไปสามารถใช้งานได้ทนทานมากขึ้นและตรงกับการใช้งานไม่ใช่การนำเอาแต่แฟชั่นหรือความสวยงานมาเป็นจุดขายแต่เพียงอย่างเดียวเราอาจจะมองง่ายๆ ว่ารถยนต์ปิคอัพที่ผลิตออกมาขายคันละแสน ยังไม่มีแม้แต่กันชนท้ายต้องไปเสียเงินซื้อติดเอาเอง หรือเรียกกันชนท้ายว่าของแถม ช่างน่าสงสารจริงๆทั้งคนซื้อและคนขาย  

การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกๆฝ่ายหันมาศึกษาในรายละเอียดและร่วมมือกันอย่างจริงจังโดยเฉพาะนักการเมือง เพราะทุกๆสิ่งจะสามารถแก้ไขได้หากเริ่มต้นที่นโยบายระดับชาติ

ก่อนที่วันนั้นจะมาถึงผมหวังว่า ตำนานJeep ที่ผมนำมาเล่าให้ฟังวันนี้จะเป็นแรงกระตุ้นแม้เพียงน้อยนิด ให้คนรุ่นใหม่ที่เผอิญเปิดมาอ่านเรื่องราวที่ผมเล่ามานี้  ได้หยุดคิดสักนิดว่าปัจจุบันว่าเรากำลังตกเป็นทาส ทางเศษกิจและถูกครอบงำ ทางความคิดจากต่างชาติ  ที่เป็นนักลงทุนและเป็นเจ้าของเทคโนโลยี  มากเพียงใด โดยอาจจะดูได้จากการถูกครอบงำค่านิยมในการใช้รถยนต์ของตัวท่าน และลองประเมินว่าตัวท่านเองหาเงินมาเพื่อใช้จ่ายกับรถยนต์ที่ท่านใช้อยู่มากน้อยเพียงใด  แล้วเงินของท่านเหล่านั้นหมุนเวียนอยู่ในประเทศของเราหรือไหลกลับไปยังประเทศที่เป็นนักลงทุนและเจ้าของเทคโนโลยี มากเพียงใด คิดดูดีๆ นะครับ


รถ BMW 6-Series ปี 2012 โชว์ต้นแบบตัวจริงที่ปารีส


รถ BMW 6-Series ปี 2012 โชว์ต้นแบบตัวจริงที่ปารีส

BMW โชว์รถต้นแบบ BMW 6-Series ตัวใหม่สำหรับรุ่นปี 2012 ในงานปารีสมอเตอร์โชว์ 2010
ต้นแบบ BMW 6-Series ตัวใหม่นี้ ดึงการออกแบบมาจากรถ BMW Concept Gran Coupe ที่แสดงในงานปักกิ่งมอเตอร์โชว์ในเดือนเมษายน 2553
ลักษณะภายนอกรถคงรูปแบบจากรถทรงคูเป้ซึ่งมีกระโปรงหน้ายาวและ มีระยะล้อหน้ากับหน้ารถที่สั้น
หน้ารถรูปทรงใหม่ และใช้ไฟหน้า LED ล้วนเป็นครั้งแรก ซึ่งให้ไฟขาวและประหยัดพลังงาน
ท้ายรถได้ท่อไอเสียคู่ ทรงสี่เหลี่ยมคางหมู, แถบไฟ LED บนกันชนท้าย, และใช้ล้ออลูมิเนียมขนาด 20 นิ้ว
หลังคารถมีกระจกซันรูฟ, ห้องโดยสารสองตอน ตอนละสองที่นั่ง โดยเบาะหลังเป็นเบาะแยกเดี่ยวสองเบาะ, มีจอ iDrive ขนาด 10.2 นิ้ว และชุดลำโพง Bang & Olufsen 16 ตัว
รถคันนี้เป็นรถต้นแบบของ BMW 6-Series ที่จะเริ่มผลิตวางตลาดในช่วงต้นปี 2554 (2011) ดดยในเดือน มีนาคม 2554 จะมีเวอร์ชั่นเปิดประทุน ออกมาก่อน ตามด้วย BMW 6-Series รุ่นหลังคาแข็งในเดือนกันยายน 2554
ทั้งนี้ รถ BMW 6-Series เวอร์ชั่นวางตลาดอาจจะได้รับการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยจากรถต้นแบบที่นำมาแสดงในงานปารีสมอเตอร์โชว์ดังที่เห็นในภาพนี้

FORD ALL-NEW RANGER

เครื่องยนต์

  • เครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค 3.2 ลิตร เทอร์โบแปรผัน (VGT) อินเตอร์คูลเลอร์
    กำลังสูงสุด 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตร
    เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด



คุณลักษณะอันโดดเด่น

  • ระบบกันสะเทือนหน้า อิสระปีกนกคู่พร้อมคอยล์สปริง / หลัง แหนบซ้อน
  • ระบบบังคับเลี้ยวแบบ แรค แอนด์ พิเนียน พร้อมพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรง
  • เฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป
  • ล้ออัลลอย 18" พร้อมยางขนาด 265/60R18
  • ไฟตัดหมอกหน้า
  • บันไดข้าง
  • ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
  • ไฟส่องสว่างข้างตัวรถ
  • สปอร์ตบาร์ และราวหลังคา
  • ราวเสริมขอบกระบะท้าย
  • พื้นปูกระบะท้าย
  • ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
  • เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
  • ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา
  • วิทยุพร้อมเครื่องเล่น CD/MP3 แบบแผ่นเดียว พร้อมช่องต่อ AUX
  • ช่องต่อ USB
  • ลำโพง 6 ตัว
  • สวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
  • ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ และ ระบบสั่งงานด้วยเสียง
  • จอแสดงผลข้อมูลอเนกประสงค์แบบจอใหญ่
  • กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ
  • ระบบป้องกันล้อล็อก และระบบกระจายแรงเบรก
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว และ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี
  • สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
  • กล้องมองหลังพร้อมจอแสดงภาพบนกระจกมองหลัง
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
  • ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย
  • ระบบสัญญาณเตือนกันขโมย



วิธีเลือกซื้อรถ "ใหม่ป้ายแดง"

ขั้นตอนการซื้อรถยนต์ใหม่ป้ายแดง
 
รถยนต์เป็นสิ่งที่เกือบทุกคนอยากจะมีไว้ใช้ แต่ทว่าราคาของมันไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถซื้อได้ บางคนเก็บเงินหลายปีกว่าจะซื้อได้ ดังนั้น เราควรจะต้องมีความรู้เรื่องนี้พอสมควร ไม่ควรรีบร้อน ผมเป็นคนหนึ่งที่ซื้อรถยนต์ป้ายแดงครั้งแรก มันก็ไม่ราบรื่นอย่างที่คิดไว้ เจอหลายๆอย่างจึงอยากแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อให้ทุกคนได้รถอย่างที่ตัวเองหวังไว้ เริ่มต้นเลยนะครับ
1.     การเลือกรถที่คุณต้องการ ควรศึกษาข้อมูลเบื้องต้นหรือถามผู้รู้และความต้องการของเรา ว่าเราขอบอะไร เพื่ออะไร   
  • ยี่ห้อรถยนต์ เข้าเวบของยี่ห้อนั้นดูข้อมูล เรื่องการให้บริการ ศูนย์บริการ ข่าวไม่ดีต่างๆ
  • รุ่นรถ รุ่นที่เราชอบ option ต่างๆ ของแต่ละรุ่น ความจำเป็นในการใช้งาน
  • สีรถ สีที่ชอบและดวงตามความเชื่อ เดี๋ยวจะต้องมาเสียเวลาติดสติกเกอร์รถสีต่างๆเพิ่มอีก
  • ราคา เราควรประเมินตัวเราเองว่า เราสามารถจ่ายได้ขนาดไหน เมื่อซื้อรถจะมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายหรือเปล่า อย่าฟังคนอื่นมาก ฟังหูไว้หู เพราะยังไงเวลาเรามีปัญาเรื่องการเงินคงไม่มีใครมาช่วยจ่าย
2.     การเลือกศูนย์บริการที่คุณต้องการเข้าไปซื้อรถ ควรเลือกศูนย์ที่ไว้ใจได้นะครับ เพราะเราต้องอยู่กับศูนย์นั้นหลายปีทีเดียว ขอย้ำว่าหลายปี หากเลือกผิดเราจะช้ำใจไปเลยครับ และจะทำอะไรเกี่ยวกับรถก็ลำบากไปหมด เราจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นศูนย์ที่เราต้องการ ลองพิจารณาตามนี้ดูนะครับ 
  • เป็นตัวแทนจากยี่ห้อรถยนต์ที่เราต้องการจะซื้อ
  • ประวัติของศูนย์ครับ ต้องถามข้อมูลจากคนรอบข้างที่เคยไปใช้บริการ หรือข่าวลือต่างๆ ครับ บางศูนย์เห็นเราเข้าไปเหมือนพระเจ้า บางศูนย์เห็นเราเข้าไปเหมือนขอทาน บางศูนย์เจ้าของเป็นผู้มีอิทธิพล (เวลาเรามีปัญหาหลังจากซื้อรถไป เซลแมนจะเอามาขู่เราด้วย) เลือกศูนย์ที่มีประวัติดีนะครับ มีคนชมมากกว่าคนด่า ต่อให้ตั้งศูนย์ใหม่แต่เจ้าของคนเดิม ทีมงานเดิม การบริการก็ยังห่วยเหมือนเดิมครับ
  • ศูนย์บริการใกล้บ้านครับ สะดวกต่อการติดต่อ ประหยัดน้ำมัน
3.     การเลือกเซลแมน ขั้นตอนนี้สำคัญมากกว่าการเลือกศูนย์บริการนะครับ เพราะหากเจอเซลที่ดี เซลจะเป็นเหมือนที่ปรึกษาเรื่องรถที่ดีสำหรับคุณที่เดียวและคุณจะได้รถตามที่คุณหวัง แต่หากเจอเซลแย่คุณจะโดนโกงสารพัดวิธีที่เดียว เซลแมนคือที่คอยให้คำแนะนำเรื่องรถ ทำสัญญา เตรียมรถให้เรา แต่ที่สำคัญที่สุด เค้าจะต้องขายรถให้เราเพื่อทำกำไรให้ทางบริษัท และค่าคอมมิสชัน กำไรจากส่วนอื่นๆ ที่เราพลาดเผลอไปยอมรับโดยไม่ระวังซึ่งสำคัญกว่าบริการเราซะอีก แล้วเราจะเลือกยังไง 
  • ถ้าเซลเป็นญาติพี่น้องที่ดีต่อเรา จะดีมากเค้าคงเลือกสิ่งดีๆให้พี่น้องกันโดยไม่หวังผลกำไรมากอยู่แล้ว
  • เพื่อนพี่น้อง แนะนำเซลให้ แสดงว่าคนคนนั้นเคยใช้บริการมาแล้ว เซลคงรักษามาตรฐานการให้บริการที่ดีทุกคน
  • ใช้น้ำเสียงการให้บริการฟังแล้วรู้สึกสบายใจ แต่หากฟังแล้วขัดหูหรือไม่สบายใจเปลี่ยนคนเถอะ
  • ขั้นตอนการอธิบายรถ อธิบายแล้วเราเข้าใจ ถามอะไรสามารถตอบได้
  • อย่าเลือกเพียงเพราะหน้าตา หรือเพราะพูดเพราะ ให้จำสุภาษิตนี้ไว้เลยครับ หน้าเนื้อใจเสือปากหวานก้นเปรี้ยว การเลือกเซลแมน
4.     เรื่องของแถม ดูสิว่าเซลให้ของแถมไรเราบ้าง เช่น 
  • น้ำมันเต็มถัง
  • ส่วนลดเงินสด
  • เบาะหนัง
  • ฟิล์มรอบคัน ยี้ห้ออะไร ประกันกี่ปี ติดรุ่นไหนได้บ้าง ราคาที่ติดได้เท่าไร ติดที่ไหน
  • เคลือบสี+กันสนิม ทำฟรีทุกครั้ง หรือเสียตังค์แต่ละครั้งเท่าไร
  • ประกันภัยชั้น 1 ฟรีหรือเปล่า
  • Sensor ถอยหลัง 2 หรือ 4 จุด ไม่ได้ติดจากโรงงาน ต้องถามว่าซื้อของอะไร ติดตั้งที่ไหน รับประกันกี่ปี ซ่อมที่ไหน
  • อุปกรณ์แต่งรถ เช่น สปอร์ยเลอร์ กระจังหน้า คิ้วกันสาด สเกิร์ตรอบคัน คิ้วบันไดสแตนเลส ต้องถามว่าซื้อของอะไร ของศูนย์ ของร้าน หรือของแท้ ติดตั้งที่ไหน ส่วนใหญ่เค้าจะแถมของที่ซื้อจากร้าน
  • ของอื่นๆ เช่น ผ้าคลุมรถ หมอนผ้าห่ม พรมปูพื้น สายรองเบลท์ อุปกรณ์ฉุกเฉิน ผ้ายางปูพื้น ถาดหลังกันเปื้อน น้ำหอม ชุดทำความสะอาด ที่ล๊อคพวกมาลัย หมอนผ้าห่ม ม่านบังแดด ฯลฯ ผมได้ครบเกือบทุกอย่างตามที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น ทำไมเค้าถึงให้ผมเยอะขนาดนี้ มันมีเหตุครับ รับรองเซลเค้าได้มากกว่าที่เสียให้ผม
5.     ถามเรื่องประกันภัยชั้น 1 ที่เค้าให้เรานะครับ ไม่ว่าจะแถมให้ฟรี หรือเราเสียตังค์เอง มันมีส่วนสำคัญมากครับ และรถใหม่ทุกคันที่ผ่อนจะต้องทำครับ เราควรจะถามข้อมูลอะไรบ้างเกี่ยวกับประกันจากเซล หากเซลตอบไม่ได้ หรือเราไม่เข้าใจ ก็อย่าเพิ่งจองนะครับ ให้เราเข้าใจก่อนเกี่ยวกับประกันสำคัญมากครับ ให้เราเข้าใจก่อน สิ่งที่เราควรรู้นะครับ
  • เป็นของบริษัทอะไร น่าเชื่อถือหรือเปล่า ใกล้เจ้งไหม
  • บริษัทประกันนั้นมีข่าวไม่ดีจากลูกค้าหรือเปล่า เช่น บริการไม่ดี บริการช้า
  • ซ่อมศูนย์ หรือซ๋อมอู่ ถึงจะเป็นประกันชั้น 1 แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถซ่อมได้ทุกที่ เพราะราคาการซ่อมที่ประกันสามารถจ่ายได้บางศูนย์หรือบางอู่ก็รับไม่ได้ อย่างกรณีผม มีศูนย์ยี่ห้อ A 2 ที่แถวบ้าน แต่ที่หนึ่งรับเคลมไม่ต้องจ่ายเพิ่ม แต่อีกที่เมื่อไปเคลมจะมีส่วนต่างที่เราต้องจ่ายเพิ่มเอง แต่ศูนย์ที่รับเคลมที่ไม่มีส่วนต่างรอคิวซ่อมนานเป็นเดือนๆ เราต้องรู้ก่อนเพื่อไม่เสียความรู้สึกภายหลัง
  • ข้อควรรู้สำหรับมือใหม่ หากรถเราเสียหายโดยไม่มีคู่กรณีเราต้องจ่ายประกันเริ่มต้น 1000 บาท แต่หากมีคู่กรณี คู่กรณีจ่ายครับซ่อมฟรี แต่เสียเวลา
6.     ถามเรื่องการทำสินเชื่อ หากเราไม่ได้ซื้อเงินสด ควรถามเรื่องนี้กับเซลด้วยนะครับ เพราะเราต้องทำ สัญญาเช่าซื้อกับธนาคารนั้น สิ่งที่เราควรรู้คือ 
  • บริษัทหรือธนาคารอะไร
  • ดอกเบี้ยเท่าไร
  • จำเป็นต้องมีประกันวงเงินสินเชื่อหรือเปล่า
  • ตอนนี้ก็ลองให้เซลคิดเรื่องเงินเรื่องทองให้ดูเลยนะครับ ว่ามีค่าใช้จ่ายวันรับรถอะไรบ้าง โดยของผมทั้งหมดมันจะมีตามข้างล่าง เงินที่เราจะทำสัญญาเช่าซื้อคือ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด-เงินจอง-เงินดาวว์ ครับ  
  • ค่ารถยนต์รุ่นที่เราจอง
  • ค่าจดทะเบียน
  • ค่ามัดจำป้ายแดง
  • ค่าประกันภัยชั้น 1
  • พ.ร.บ.
  • ค่าตกแต่ง
  • ค่าประกันภัยวงเงินสินเชื่อ
7.     การจองรถยนต์ ขั้นตอนนี้เราเริ่มที่จะเสียเงินแล้วนะครับ หากเราพอใจกับตัวรถยนต์รุ่นที่เราต้องการ ของแถมที่เซลจะจัดให้ นิสัยและคำอธิบายของเซล เรื่องประกันชั้น 1 เราก็จองรถเลยครับ แต่หากเรายังรู้สึกลังแลก็อย่าเพิ่งจองนะครับ มันไม่ทำให้เซลเสียเวลาหรอกครับ เพราะรถที่เราจะซื้อไม่ใช่คันละบาทสองบาท ไปนอนคิดที่บ้านดีกว่าครับ คราวนี้มีคำถามว่าทำไมต้องจอง เนื่องจากรถมีราคาแพงดังนั้นหากไม่มี Order โรงงานก็จะไม่ผลิตรถมาขาย ดังนั้นเมื่อเราจองรถ เซลจะเก็บหลักฐานสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อไปใช้ประกอบการส่งข้อมูลให้โรงงานผลิตรถยนต์ รถที่ผลิตออกมาคันนั้นจะผลิตตามรุ่นและสี ตามที่เราจองไปทุกประการ หากทำมาแล้วไม่ตรง เรามีสิทธิที่จะไม่เอาและขอค่าจองคืนได้  มีข้อแนะนำดังนี้ 
  • อย่าลืมขอใบเสร็จหรือสัญญาการจอง
  • สัญญาการจองต้องระบุรุ่นและสีของรถที่เราต้องการให้ถูกต้อง
  • สัญญาการจองต้องเขียนของแถมทุกอย่างให้ครบอย่าบอกปากเปล่า
  • ตอนนี้ถามเลยครับว่ารถจะมาเมื่อไร และจะติดต่อกลับเราวันไหนระบุให้ชัดเจนเขียนลงในสัญญาเลยครับ
  • หากเราละเอียดมากๆ แล้วถ้าเซลงอแง หรือแกล้งลืมๆ ไม่จด เราก็บอกไปเลยครับว่ายังไม่จอง อย่ารีบร้อนนะครับ รถไม่ใช่ถูกๆ
  • หลังจากจองเสร็จก็รอ หากเซลโทรมาเปลี่ยนแปลงเรื่องของแถมก็แล้วแต่เราว่ารับได้ไหม รับไม่ได้ก็ขอเงินจองคืน
8.     การตรวจรับรถป้ายแดง แล้วก็ถึงเวลาที่รถเรามาถึง บางที่หากเราติดฟิล์มหรือไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม เซลจะโทรให้ไปรับรถเลย แต่หากเรามีการตกแต่งที่ไม่ได้ทำมาจากโรงงาน เซลจะให้ไปดูรถและตรวจรถที่มาจาโรงงาน ยังไงก็ตามเราควรทำหารตรวจรับรถที่มาจากโรงงานก่อนเริ่มเลยนะครับ 
  • ควรพาผู้เชียวชาญเรื่องรถยนต์ สี และพวกจับผิดเรื่องรถยนต์เก่งๆ เพราะเรามือใหม่
  • มีแบบฟอร์มการตรวจตาม link นี้เลยครับ http://www.oknation.net/blog/print.php?id=53788 และควรจะค่อยตรวจที่ละขั้นอย่างละเอียด โดยให้คนที่พาไปด้วยช่วยเราดู อย่าแย่งกันดูนะครับ เดี๋ยวจะเช็คไม่ครบ อย่ากลัวว่าเราจะงี่เง่า รถราคาแพงครับ
  • ขอดูเอกสารที่รถลงถึงอู่ ว่าวันที่เท่าไร ช่างตรวจรับหรือยัง เค้าจะเรียกว่าใบ Warranty Bosket ครับ หากไม่มี ค่อยมาตรวจใหม่วันหลัง
  • สำคัญมาก อย่าลืมจดหมายเลขเครื่องเอาไว้ด้วยนะครับ ว่ารถคันนี้เราเช็คแล้ว
  • ข้อตกลงเรื่องการติดตั้งของอื่นๆ เพิ่มเติม ของแถมตามสัญญาการจองเช่น 
    • ติดฟิล์ม
    • สปอร์ยเลอร์ กระจังหน้า คิ้วกันสาด สเกิร์ตรอบคัน คิ้วบันไดสแตนเลส
    • Sensor ถอยหลัง
    • เบาะหนัง 
  • พวกนี้ต้องรอเช็คอีกรอบวันรับรถ หากติดตั้งเสร็จแล้วให้ตรวจดูความเรียบร้อยดังนี้  
    • ติดฟิล์ม  ขอดูใบติดตั้ง ใบรับประกันเขียนถูกต้องเหรือเปล่า มีฟองอากาศหรือเปล่า
    • สปอร์ยเลอร์ กระจังหน้า คิ้วกันสาด สเกิร์ตรอบคัน คิ้วบันไดสแตนเลส การติดตั้งเรียบร้อยหรือเปล่า น๊อตที่ใช้เป็นแบบไหน กันสนิมหรือเปล่า ขอบยางหารติดสวยหรือเปล่า ใช่ซิลิโคนอะไร มีรอยหรือเปล่า สีเข้ากับสีรถหรือเปล่า เนื้อละเอียดเหมือนสีรถหรือเปล่า
    • Sensor ถอยหลัง ทดสอบว่าวัดการถอยหลังยังไง
    • เบาะหนัง สีตามที่เราต้งการหรือเปล่า ตะเข็บ ติดเรียบเนียนหรือเปล่า
9.     ทำสัญญาซื้อขาย หรือสัญญารับรถ ตราบใดที่เรายังไม่เซ็นรับรถ เราก็เหมือนพระเจ้า แต่เมื่อไรก็ตามเราเซ็นรับรถแล้วและเราเอารถออกจากศูนย์ เราเหมือนยาจกทันที ก่อนเว็นควร 
  • รถสวยงามอย่างที่เราต้องการหรือเปล่า ใช่รุ่นที่เราต้องการหรือเปล่า ไม่ใช่มาจากโรงงานอีกรุ่น มาแต่งเป็นอีกรุ่นที่เราต้องการ มันไม่สมควร
  • ตรวจตามข้อ 8 อีกรอบ เอาหมายเลขเครื่องมาดูเลยครับว่าหมายเลขเดียวกับที่เราตรวจมาแล้วหรือเปล่า
  • ตรวจดูการติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งเสริมตามข้อ 8
  • ของแถมครบหรือเปล่า ไม่ครบรอเซ็นรับวันหลัง
  • น้ำมันเต็มถังหรือเปล่า
  • เอกสารต่างๆครบหรือเปล่าเช่น 
    • เอกสารประกันหรือใบเสร็จ
    • พ.ร.บ. หรือใบเสร็จ
    • ใบเสร็จค่ามันจำป้ายแดง+สมุดคู่มือป้ายแดง
    • ป้ายแดงของแท้หรือเปล่า ต้องมีตรา ขส....
    • เอกสารติดตั้งฟิล์ม และรับประกันฟิล์ม
    • เอกสารการรับประกันอุปกรณ์รถหรือ Warranty Bosket ที่มีชื่อเราโดยไม่มีรอยลบ ขีด เปลี่ยนแปลงข้อมูล
    • คู่มือรถ
    • เอกสารเซ็นต์เตรียมจดทะเบียน จะได้ป้ายขาวเมื่อไร เลือกเลขทะเบียนได้หรือเปล่า หรือต้องติดต่อกับขนส่งเอง
10. ถ้าครบทุกอย่าง ตามที่กล่าวมา ก็รับรถไปได้เลย

 
แหล่งข้อมูล:http://chaiwitr.exteen.com/