วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ECO CAR รถยนต์ประหยัดพลังงาน เพื่อวันนี้และอนาคต

กระแสเรื่องประหยัดพลังงานกลายเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากบุคคลทั่วไป อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น สำหรับรถอัพเกรดฉบับนี้จะขอนำเสนอที่มาที่ไปของรถอีโอคาร์หรือรถประหยัดพลังงานที่กำลังเป็นจุดสนใจกับผู้ใช้รถยนต์อยู่ ณ ขณะนี้ จากการที่ภาครัฐซึ่งได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของรถประหยัดพลังงานจึงได้มีแนวความคิดส่งเสริมรถประหยัดพลังงานขึ้นมาเป็นรูปธรรมในมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง นโยบายส่งเสริมรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2550 จากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจะส่งเสริมรถยนต์ที่ประหยัดพลังงานและให้ดำเนินการต่อในเรื่องที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอมา ในสามหน่วยงาน คืิอ กระทรวงอุตสาหกรรม บีโอไอ และกระทรวงการคลัง


โดยในส่วนที่ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินการ ประการแรก คือ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศกำหนดคุณสมบัติของรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล โดยให้ครอบคลุมข้อกำหนดทางเทคนิครถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลประการที่สองให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นงานรับผิดชอบในการตรวจสอบและพิจารณาอนุมัติว่ารถยนต์รุ่นใดมีคุณสมบัติเป็นรถยนต์ประหยัดพลังงาน

หน่วยงานที่ 2 คือ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ ให้ออกประกาศส่งเสริมการลงทุน พร้อมทั้งกำหนดสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน แก่กิจการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ที่มีคุณสมบัติรถยนต์ประหยัดพลังงาน

และอีกหน่วยงาน คือ กระทรวงการคลัง ให้ออกประกาศกำหนดให้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล อยู่ในประเภทที่ 05.01 และ 05.02 รายการ (2) รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภทประหยัดพลังงาน

โดยกำหนดให้มีอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตที่เหมาะสม ซึ่งอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป


ทั้งนี้ รถยนต์ที่จะได้รับสิทธิการเสียภาษีสรรพสามิตในอัตราสำหรับรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลนี้ จะต้องเป็นรถยนต์รุ่นที่ได้รับการตรวจสอบและพิจารณาอนุมัติจากกระทรวงอุตสาหกรรมเรียบร้อยแล้ว

จากนั้นกระทรวงการคลังจึงได้เสนอมาตรการภาษีรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (Eco Car) ออกมาเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2550 โดยมีรายละเอียดดังนี้

ตามที่ คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2550 เรื่อง มาตรการภาษีรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (Eco Car) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 17 และเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการลงทุนผลิตและจำหน่ายรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลได้ทันในวันที่ 1 ตุลาคม 2552 นั้น กระทรวงการคลังจึงได้เสนอรายละเอียดของร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 โดยมีรายละเอียดที่เกี่ยวกับรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ดังนี้

รถยนต์นั่ง หรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภทรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ที่จะได้รับการลดอัตราภาษีสรรพสามิตตามความใน (2) ในประเภทที่ 05.01 และ 05.02 ของตอนที่ 5 รถยนต์ หมายถึง รถยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1,300 ลูกบาศก์เซนติเมตร สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1,400 ลูกบาศก์เซนติเมตร สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล โดยต้องแสดงหนังสือรับรองการอนุมัติคุณสมบัติรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ที่ออกโดยกระทรวงอุตสาหกรรม และเป็นไปตามข้อกำหนดทางเทคนิคดังต่อไปนี้


ใช้หรือสามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร ตาม Combine Mode ที่ระบุไว้ในข้อกำหนดทางเทคนิค UNECE Reg. 101 Rev. 1
มาตรฐานมลพิษอยู่ในระดับ EURO 4 ตามข้อกำหนดทางเทคนิค UNECE Reg.83 Rev.2 (2005) หรือระดับที่สูงกว่า หรือที่กระทรวงอุตสาหกรรมประกาศกำหนด
ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากท่อไอเสียไม่เกิน 120 กรัมต่อกิโลเมตร ที่วัดตามหลักเกณฑ์ที่ระบุในข้อกำหนดทางเทคนิค UNECE 101 Rev. 1
มีคุณสมบัติในการป้องกันผู้โดยสาร กรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้าของตัวรถตามมาตรฐาน UNECE Reg.94 Rev.0 หรือระดับที่สูงกว่า และมีคุณสมบัติในการป้องกันผู้โดยสาร กรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านข้างของตัวรถตามมาตรฐาน UNECE ข้อ Reg.95 Rev.0หรือระดับที่สูงกว่า
จากมาตรการหลาย ๆ มาตรการดังกล่าวจึงทำให้มีค่ายรถยนต์สนใจ เริ่มจากค่ายนิสสัน ที่เปิดตัวได้อย่างเร้าใจกับ NISSAN MARCH ที่มาถูกจังหวะจะโคนในช่วงที่ราคาน้ำมันแพงและกระแสรถยนต์ประหยัดน้ำมัน ทำยอดขายทะลุเป้า ทำให้หลายค่ายที่ให้ความสนใจอยู่แล้วต้องเร่งมือกันเป็นการใหญ่ ถึงอย่างไรก็ตามการที่จะตามให้ทันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะแต่ละโครงการไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาครึ่งปี หากต้องวางแพลนกันยาว


แต่ถึงอย่างไรค่ายฮอนด้าก็ประกาศว่าพร้อมเปิดตัวแน่นอนในปลายปีหน้า โดยนำตัวโชว์มาให้เห็นเส้นสายว่ารูปร่างไม่ได้แค่จินตนาการหากออกมาเป็นรูปร่างแล้วที่ได้เห็นกันในงานมอเตอร์โชว์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่วนอีกสามค่ายที่เร่งตัวปรับทัพก็ได้แก่ SUZUKI ที่ประกาศแล้วว่าน่าจะมาเปิดตัวในบ้านเราราวปี 2012 และ MITSUBISHI กับ TOYOTA ก็น่าจะอยู่ราว ๆ ปี 2014 เป็นอย่างช้า ข่าวล่าสุดที่ออกมามิตซูบิชิปรับแผนใหม่โดยแจ้งกับทางภาครัฐว่าจะพร้อมผลิตจริงในปี 2011 และพร้อมทำตลาดในปี 2012 งานนี้อีกหนึ่งถึงสองปีก็จับตาตลาดรถประหยัดพลังงานคงจะมีหลายทางเลือกสำหรับผู้บริโภค ที่สำคัญจะเป็นการช่วยให้ประหยัดทั้งประเทศชาติในอันที่จะลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง และประหยัดในส่วนของผู้ขับขี่ ผู้ใช้รถยนต์ที่จะทุ่นค่าใช้จ่าย สิ่งที่ละเลยไม่ได้ก็คือ เรื่องความปลอดภัย โดยภาครัฐก็กำหนดไว้ในข้อกำหนดทางเทคนิคไว้แล้วในอันที่จะช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับรถยนต์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น